22 December 2006

Fritz the Cat / The Nine Lives of Fritz the Cat : แมวนรก ตะลุยสังคม


Beavis and Butt-Head ชิดซ้าย Team America ชิดขวา เมื่อต้องเจอกับหนังอนิเมชั่นสุดหยาบเรื่องนี้ โดยที่ดูแค่โปสเตอร์มันก็รู้ได้แล้วว่ามันไม่ธรรมดา เมื่อมันพาดพิง เสียดสี ล้อเลียน และตีแผ่ยุคสมัย1960-1970 ของสังคมอเมริกัน โดยผ่านบรรดาตัวละครที่เป็นสัตว์ และมีตัวนำอย่างเจ้าแมว ฟริทซ์
อนิเมชั่นที่มีทั้งความรุนแรงทางด้านเพศ เหยียดสีผิว เชื้อชาติ และศาสนา มันสะท้อนถึงชีวิตคนหนุ่มสาวในยุค 60 ที่หมกมุ่นอยู่กับเรื่องเพศ อย่างการมีเซ็กหมู่ เรื่องของยาเสพติด ที่พวกมันเมามายกันได้ทั้งวัน และการดูถูกเหยียดหยามศาสนาอย่างไม่มีชิ้นดี ด้วยการดูถูกพวกชาวยิวในสุเหร่า และมีตัวละครที่เป็นพระเจ้าอยู่ในถังขยะ จนทำให้มันได้เรท X ไปครอง โดยตัวเรื่องและตัวละครนั้นได้หยิบยกมาจากงานของ โรเบิร์ท คัมพ์ นักเขียนการ์ตูนชาวอเมริกันที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์อเมริกัน โดยที่เรื่องแรกคือ Fritz the Cat นั้นเป็นผลงานการกำกับของ ราฟ บาคชิ ในปี 1972 ซึ่งถือว่าล่วงเลยจากยุคบุปผาชนมาไม่นาน
สำหรับภาคต่อมา The Nine Lives of Fritz the Cat ถูกสร้างออกมาในปี 1974 โดยผู้กำกับ โรเบิร์ต เทย์เลอร์ ที่ถึงแม้จะดูลดดีกรีความหยาบคายลงบ้าง จนได้เรท R แต่ประเด็นการเสียดสี และล้อเลียนดูเหมือนจะทวีความรุนแรงขึ้น เมื่อมันพูดถึงทั้งการตกงานของประชาชน เหตุการณ์บ้านเมืองด้วยการวิพากษ์วิจารณ์คดีวอร์เตอร์เกท การทำสงครามเวียดนาม หรือการที่เจ้าฟริทซ์ต้องไปเป็นจิตแพทย์ประจำตัวให้กับฮิทเลอร์ โดยทั้งหมดนั้นผ่านมุมมองการเมายาของมัน และการเข้าสู่จินตนาการถึงการมี 9 ชีวิต และท่องไปยังเรื่องราวต่างๆ ที่พร้อมจะตีแผ่ และเสียดสีสังคม อย่างหยาบคาย และรุนแรง ด้วยความโด่งดังและวิพากษ์วิจารณ์อย่างตรงๆ ของมัน ทำให้มันได้เข้าชิงรางวัลปาล์มทองคำ ในเทศกาลหนังเมืองคานน์ในปี 1974 เลยทีเดียว
ถึงแม้ว่าหนังทั้ง 2 เรื่องจะมีลายเส้นที่ไม่ได้สวยงาม วิจิตรอย่างในอนิเมชั่นยุคปัจจุบัน แต่มันเต็มไปด้วยความรุนแรง และดิบเถื่อนอย่างที่ผ่านไปกี่ยุคสมัย ก็ควรหลีกเลี่ยงให้ไกลจากมือเด็ก และพวกมองโลกในแง่ดีที่เกลียดกลัวการเสียดสี หยาบคายแบบตรงไปตรงมา

วอล์ท ดิสนีย์ ราชาการ์ตูนโลก :> โดย ยงศักดิ์ หล่อวิริยากุล


"การ์ตูนอนิเมชั่น เป็นสื่อกลางในการเล่าเรื่องและความบันเทิงด้านภาพ ที่สร้างความสนุกเพลิดเพลินและความรู้ ให้กับผู้ชมทุกเพศทุกวัยทั่วโลก"
วอล์ท ดิสนีย์

นิตยสาร Time ที่มีชื่อเสียงของอเมริกา ได้คัดเลือกบุคคลสาขาอาชีพต่างๆ ในฐานะเป็นผู้ทรงอิทธิพลที่สุดในศตวรรษ และหนึ่งในบุคคลที่ได้รับคัดเลือกคือ วอล์ท ดิสนี่ย์ นักนวกรรมที่เปลี่ยนวิถีของโลกใบนี้ ตลอดเวลา 43 ปีในงานอาชีพของเขา ดิสนีย์เป็นผู้พัฒนาเทคนิคการถ่ายทำภาพยนตร์ให้ทันสมัยมากขึ้น เป็นผู้สร้างสรรค์ มีจิตนาการสูง ผลงานของเขาเป็นที่รู้จักและประทับใจของคนทั่วโลก วอล์ท ดิสนีย์ ได้รับรางวัลออสการ์ไปถึง 48 รางวัล และรางวัลเอ็มมี่อีก 7 รางวัล
วอล์ท ดิสนีย์ (วอลเตอร์ เอเลียส ดิสนีย์) เป็นทั้งผู้อำนวยการสร้าง ผู้กำกับภาพยนตร์ นักเขียนบท นักพากย์เสียงการ์ตูน นักทำอนิเมชั่น ดิสนีย์รับจ้างเขียนการ์ตูนมาตั้งแต่เด็ก ก่อนจะมุ่งสู่ถนนสายฮอลลีวูดในปี 1923 ขณะที่มีอายุได้ 22 ปี ดิสนีย์ต้องต่อสู้และฝ่าฟันอุปสรรคต่างๆ มากมาย จนสามารถตั้งบริษัทสร้างการ์ตูนตามความฝันของเขาได้ ดิสนีย์ได้สร้างสรรค์ตัวการ์ตูนที่เป็นขวัญใจของเด็กๆ ทั่วโลก ไม่ว่าจะเป็น มิคกี้ เม้าส์, โดนัลด์ ดั๊ก, กูฟฟี่ และพลูโต โดยตัวละครเหล่านี้อยู่ในการ์ตูนสั้นชุด Mickey Mouse และ Silly Symphonies ซึ่งมีส่วนสำคัญในการพัฒนาเทคนิคของอนิเมชั่นในเวลาต่อมา
เมื่อ The Jazz Singer (1927) หนังเสียงเรื่องแรกของโลกออกฉาย คนดูตื่นเต้นมากกับภาพและเสียงที่ปรากฏบนจอ (หลังจากที่ดูหนังเงียบมานานหลายปี) และอีกหนึ่งปีต่อมาในปี 1928 การ์ตูนมิคกี้ เม้าส์ เรื่องที่สาม คือ Steamboat Willie ถูกสร้างเป็นการ์ตูนเสียงเรื่องแรกของโลก โดยมีดิสนีย์เป็นผู้พากย์เสียงมิคกี้ เม้าส์ เขาพากย์เสียงการ์ตูนตัวนี้เรื่อยมาจนถึงปี 1946
ต่อมาดิสนีย์ได้นำเทคนิคด้านสีมาใช้ในหนังการ์ตูนเรื่อง Silly Symphonies ก่อนจะพัฒนาเป็นหนังสีสมบูรณ์แบบจากเรื่อง Flowers and Trees (1932) และหนังเรื่องนี้ได้รางวัลออสการ์หนังอนิเมชั่นขนาดสั้นยอดเยี่ยม
แม้จะผลิตการ์ตูนซีรีย์ไปแล้วถึงสองเรื่อง แต่ดิสนีย์ก็ยังไม่พอใจ เขาวางแผนจะสร้างหนังการ์ตูนเรื่องยาว Snow White and the Seven Dwarfs ขึ้นในปี 1934 แต่หุ้นส่วนเขาไม่เห็นด้วย เพราะเกรงจะทำให้บริษัทล้มละลายได้ หากการ์ตูนเรื่องนี้ไม่ทำเงิน และขอให้เขาถอนตัวจากโครงการนี้เสีย แต่ดิสนีย์ก็ยืนหยัดที่จะสร้างต่อไป และตลอดเวลา 4 ปี แห่งความทุ่มเทพยายาม หนังการ์ตูนเรื่องยาว Snow White and the Seven Dwarfs ก็เสร็จสมบูรณ์และออกฉายในช่วงคริสต์มาสปี 1937 หนังทำสถิติรายได้ทำเงินสูงสุด ก่อนจะถูกหนัง Gone with the wind (1939) ลบสถิติในเวลาต่อมา
Pinocchio และ Fantasia เป็นหนังการ์ตูนเรื่องต่อมาของดิสนีย์ ที่ออกฉายในปี 1940 แต่ไม่ประสบความสำเร็จด้านรายได้ ต่อมาการ์ตูนเรื่อง Dumbo (1941) กลับประสบความสำเร็จด้านรายได้
เมื่ออเมริกาเข้าสู่สงครามโลกครั้งที่ 2 ทางรัฐบาลได้ติดต่อดิสนีย์ สตูดิโอ ให้สร้างหนังที่เรียกขวัญ และกำลังใจให้คนในประเทศ Der Fuehrer's Face (1943) เป็นหนังการ์ตูนที่ต่อต้านนาซีและล้อเลียน อดอล์ฟ ฮิตเลอร์ โดยมี โดนัลด์ ดั๊ก แสดงนำ และหนังได้รางวัลออสการ์หนังอนิเมชั่นขนาดสั้นยอดเยี่ยม เมื่อสงครามโลกสงบลง และดิสนีย์ สตูดิโอ ฟื้นตัวจากภาวะสงคราม จึงเริ่มงานสร้างการ์ตูนอย่างต่อเนื่องจนถึงปัจจุบันกว่า 50 เรื่อง เช่น Cinderella (1950), Alice in Wonderland (1951), Peter Pan (1953), Lady and the Tramp (1955), Sleeping Beauty (1959), 101 Dalmatians (1961), The Jungle Book (1967) ฯลฯ หนังการ์ตูนเหล่านี้ครองใจคนดูมาโดยตลอดจนถึงปัจจุบัน
อีกก้าวสำคัญของวอล์ท ดิสนี่ย์ คือ การสร้างสวนสนุก ดิสนีย์แลนด์ แห่งแรกในโลก และเปิดทำการเมื่อวันที่ 17 กรกฎาคม 1955 ดิสนีย์กล่าวว่า ดิสนีย์แลนด์ จะไม่มีวันเสร็จสมบรูณ์ ตราบใดที่มนุษยชาติยังมีจินตนาการ คือต้องสร้างต่อไปอย่างไม่สิ้นสุด
วอล์ท ดีสนีย์ ถึงแก่กรรมเมื่อวันที่ 15 ธันวาคม 1966 จากโรคมะเร็งที่ปอด ผลงานของวอล์ท ดิสนีย์ ไม่ว่าจะเป็นภาพยนตร์ อนิเมชั่น โทรทัศน์ รวมทั้งความบันเทิงด้านอื่นๆ ยังอยู่ในความทรงจำของผู้คนทั่วโลก วอล์ท ดิสนีย์ เป็นบุคคลที่ทรงอิทธิพลด้านบันเทิงมากที่สุดคนหนึ่งในศตวรรษที่ 20 ดิสนีย์ได้กล่าวไว้ว่า "อาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ของดิสนีย์ยืนยงมาถึงทุกวันนี้ได้ เพราะเราเริ่มต้นจากหนูตัวเล็กๆ ตัวหนึ่ง" (I hope we never lose sight of one thing that this was all started by a mouse) นี่คือคำจำกัดความของวอล์ท ดิสนีย์....ราชาการ์ตูนโลก

ผลงานแห่งความทรงจำ
Fantasia (1940)
หนังอนิเมชั่นสุดยอดของโลก กับแนวคิดที่ไม่เหมือนใคร เริ่มจากเลือกดนตรีคลาสสิคมาทั้งหมด 8 เพลง แล้วนักวาดการ์ตูนจึงสร้างตัวละครขึ้นมา 8 ตัว เพื่อโลดแล่นบนหน้าจอไปพร้อมๆ กับเพลงที่คัดเลือกมา ภาพที่ได้เห็นจึงมาจากจินตนาการทั้งสิ้น เหมือนการตีความดนตรีคลาสสิคในรูปแบบที่เข้าใจง่ายโดยใช้การ์ตูน งานภาพเรื่องนี้ งดงาม มีสีสัน ยิ่งใหญ่ตระการตา จะไม่มีหนังอนิเมชั่นแบบนี้ให้ดูอีกแล้ว

Snow White and the Seven Dwarfs (1937)
การ์ตูนอนิเมชั่นที่ลงทุนมหาศาล ที่สร้างขึ้นในยุคเศรษฐกิจตกต่ำ ใช้เวลาสร้าง 4 ปี ทีมงานกว่า 750 คนซึ่งส่วนมากเป็นนักทำอนิเมชั่น ที่ช่วยกันวาดภาพกว่า 1 ล้านภาพ วอล์ท ดิสนีย์ ลงทุนชีวิตกับหนังเรื่องนี้ ทำให้เขาเกือบสิ้นเนื้อประดาตัว ยอมติดหนี้ธนาคารเพื่อให้งานออกมาสมบูรณ์ที่สุด แต่การลงทุนลงแรงของเขาไม่สูญเปล่า อนิเมชั่นเรื่องนี้ประสบความสำเร็จในทุกด้าน ได้ทั้งเงินและกล่อง เป็นหนังที่ครองใจคนดูทั่วโลกมาช้านาน ไม่เฉพาะเด็กเท่านั้น ผู้ใหญ่ก็สามารถระลึกถึงความหลังได้อีก โดยดูหนังเรื่องนี้กับลูกหลานของพวกเขา

Bambi (1942)
วัฏจักรแห่งชีวิต (การเกิด-ตาย) การเรียนรู้โลกกว้างในแง่มุมต่างๆ ทั้งสุขและทุกข์ของกวางน้อยแบมบี้ที่กำพร้าแม่ ฉากที่แม่ของแบมบี้ถูกนายพรานยิงตาย สร้างความสะเทือนใจอย่างสูงให้กับแบมบี้และคนดู เป็นหนังอนิเมชั่นที่ให้ภาพการตายแบบจริงจัง และหนักหน่วงอย่างที่ไม่เคยปรากฏมาก่อน วัยแห่งสดใสบริสุทธิ์ได้ผ่านไปแล้ว นี่คือการผจญในโลกความจริงของแบมบี้

Cinderella (1950)
อนิเมชั่นในรูปแบบเทพนิยายที่เข้าถึงจิตใจคนดู นางเอกแสนดีแต่ตกยาก ถูกกลั่นแกล้งจากฝ่ายตรงข้ามสารพัด แต่ความดีที่ทำช่วยให้เธอผ่านอุปสรรคต่างๆ ไปได้ สุดท้ายเธอได้แต่งงานกับชายคนรัก และมีความสุขตั้งแต่นั่นสืบมา นี่คือสูตรสำเร็จที่ละครและหนังมากมายในปัจจุบัน นิยมหยิบยืมเอาพล็อต "นางซิน" มาใช้กันจนเกร่อ และจะมีให้เห็นต่อไปอีกนาน

Lady and the Tramp (1955)
หรือชื่อภาษาไทยที่เรารู้จักกกันดีว่า "ทรามวัยกับไอ้ตูบ" หนังอนิเมชั่นเรื่องที่ 15 ของดิสนีย์ กับเรื่องราวของเลดี้ หมาพันธุ์ค็อคเกอร์ สปาเนี่ยล เคยเป็นขวัญใจของเจ้านายที่เป็นมนุษย์ แต่เมื่อพวกเขามีลูก เลดี้ก็ตกกระป๋อง เจ้านายไม่เหลียวแล เลดี้ออกมานอกบ้านและพบกับไอ้ตูบหมาจรจัด ก่อนจะตกหลุมรักกันและกัน เป็นอนิเมชันที่ดูสนุกตลอดทั้งเรื่อง และคนที่รักสุนัขจะชอบมากเป็นพิเศษ

Beauty and the Beast (1991)
นี่เป็นอนิเมชั่นเรื่องแรกที่ได้รับการเสนอชื่อชิงออสการ์ภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ในงานประจำปี 1991 สมบรูณ์ทั้งงานภาพ การเล่าเรื่อง ดนตรีประกอบ ความงามที่แท้จริงซ่อนอยู่ภายใน ไม่ใช่ภายนอก คิดถึงโฆษณาบะหมี่สำเร็จรูปยี่ห้อหนึ่งจังที่หยิบยืมไอเดียของหนังเรื่องนี้ไปทำ




เรื่องของหนังการ์ตูน(สั้น)ไทย :> โดย ณัฎฐ์ธร กังวาลไกล


ผมเคยได้ยินมาว่าการทำการ์ตูนเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความอดทนอย่างมาก แต่ละวินาทีกว่าจะได้มาคือการถ่ายภาพ 24 ภาพ จัดท่าทางของแต่ล่ะภาพ 24 ท่าทาง และมันก็เป็นการขยับทีละนิดๆ ด้วย (กรณีนี้คือถ่ายด้วยฟิล์มนะครับ ถ้าใช้กล้องวีดีโอถ่ายหรือกล้องดิจิตอล (ภาพนิ่ง) ถ่าย จะเป็น 25 เฟรมต่อวินาที)
ตัวผมเองเคยลองทำงานสต็อปโมชั่นเล็กๆ ที่เอาสิ่งของมาขยับไปมา และถ่ายภาพเพื่อเอามาประกอบรวมกันแค่สองสามร้อยภาพ ยังรู้สึกว่ายากเลย คิดว่าคนที่ทำด้วยความละเอียดและตั้งใจกว่านั้นคงจะต้องใช้เวลามาก บางเรื่องจึงอาจจะยาวแค่สองสามนาที แต่อาจจะใช้เวลาเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือนเพื่อการผลิต
แต่หากมีขั้นตอนที่ไม่ซับซ้อนมากนัก ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ค่อยสร้างได้เต็มร้อย นั่นคือภาพที่ถูกกำหนดไว้ที่ 24 เฟรมต่อวินาที นักศึกษาภาพยนตร์ในบ้านเราก็อาจจะทำประมาณ 10-15 เฟรมต่อวินาที
อนิเมชั่น 2 มิตินั้นปัจจุบันดูจะหายากเนื่องจากใช้เวลาในการทำค่อนข้างนาน ไม่ว่าจะหนังขนาดสั้นหรือว่าหนังที่เข้าฉายในโรง ส่วนใหญ่ที่ได้เห็นในตอนนี้ที่รองจากอนิเมชั่น 3 มิติ เห็นจะเป็นสต็อปโมชั่นอย่างที่ผมเคยทำ แต่ส่วนใหญ่เมื่อเป็นสต็อปโมชั่น ก็จะใช้ดินน้ำมันปั้นๆ เป็นตัวแล้วจับขยับท่าขยับทางกันไป แต่เมื่อเป็นดินน้ำมัน อาจจะเป็นเรื่องที่ทั้งดีและไม่ดี ที่ว่าดีคือมันสามารถขยับท่าได้ง่าย แต่ที่ไม่ดีคือมันจะเละได้ง่าย เมื่อจับขยับท่าบ่อยๆ
ผมไม่เคยลองใช้สต็อปโมชั่นแบบดินน้ำมัน จึงไม่รู้ว่าเขามีวิธีการอย่างไรที่จะไม่ทำให้ดินน้ำมันหรือวัสดุที่เขาใช้ในการทำหุ่นนั้นเละคามือระหว่างทำไปเสียก่อน คนที่ทำส่วนใหญ่น่าจะสร้างหุ่นตามโครงที่เตรียมไว้ ผมเคยอ่านเจอจากการสอนเรื่องทำสต็อปโมชั่นว่า หุ่นที่ใช้จะต้องมีการเตรียมโครง เหมือนกับว่าเป็นกระดูกให้แก่มัน คือเจ้าโครงที่ว่านี้จะต้องมีข้อต่อเหมือนคน มีข้อพับแขน (มันขึ้นอยู่กับว่าเอาละเอียดแค่ไหน ผมว่าถ้าละเอียดมากๆ โครงสร้างของหุ่นคงจะเท่ากับโครงกระดูกของมนุษย์เลยทีเดียว)
พอมีตัวละครก็ต้องมีฉาก ผมว่าฉากสร้างไม่ยากเท่าไหร่นะครับ หากคิดจะทำจริงๆ ในเมื่อมันเป็นการ์ตูนก็ไม่ต้องไปคำนึงถึงความสมจริงอะไรมากนักก็ได้ (อันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ) มันจะยืนอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง หรือโลกสมมุติที่ผู้กำกับคิดขึ้นเองก็ได้
ส่วนอนิเมชั่น 3 มิติ นั้นเหมือนจะสบายกว่าเพราะขึ้นอยู่กับคอมพิวเตอร์ แต่ผมว่ากว่าจะสร้างภาพทีละเฟรมมันก็คงจะยากไม่ต่างกัน เพราะต่างก็ชื่อได้ว่าต้องสร้าง “ทีละภาพ” เหมือนกันหมด ผมว่าสิ่งที่ยากที่สุดของการทำอนิเมชั่น 3 มิติ น่าจะเป็นเรื่องของการออกแบบ หรือร่างภาพของโลกที่เราจะสร้างขึ้นด้วยคอมพิวเตอร์ และปัญหาอีกอย่างก็อยู่ที่คอมพิวเตอร์ที่สร้างงาน ว่าจะสามารถรองรับระดับการทำงานอย่างที่คุณต้องการได้มากแค่ไหน สรุปแล้วงานจากคอมพิเตอร์ที่เหมือนน่าจะง่ายกกว่า อาจจะต้องใช้ความสามารถ ความคิด และความอดทนเทียบเท่ากับงานอนิเมชั่นอื่นๆ
ย้อนกลับมาเรื่องความเนียนของภาพ อย่างที่ว่าไว้ข้างต้น ว่าส่วนใหญ่ที่เห็นมาจากงานหนังสั้นของบ้านเรา ที่เป็นอนิเมชั่นจะไม่ค่อยเนียบมากเท่าไหร่ ผมพอจะเข้าใจดีว่า
หนึ่ง อาจจะเพราะเป็นงานต้องส่งอาจารย์ มันเลยต้องรีบเร่ง
สอง เพราะมันเป็นเรื่องที่เสียเวลาเอามากๆ คนเราโดยเฉพาะนักศึกษาต่างมีอะไรเยอะแยะต้องทำ ไหนจะเรื่องสอบ ไหนจะเรื่องไปเที่ยวกับแฟน หรือไหนจะงานอื่นๆ อีก ไอ้การจะให้มานั่งทำงานที่ใช้เวลาและต้องอุทิศตนมากๆ แบบนี้นี่คงจะไม่ไหวหรอกครับ
ดังนั้นถ้าหากคุณหวังจะได้ดูงานที่เจ๋งจริงๆ จากวงการการ์ตูนหนังสั้น คงจะต้องหวังเอาจากมืออาชีพเป็นหลัก ผมว่ามืออาชีพหลายคนบ้านเราทำหนังการ์ตูนสั้นได้น่าสนใจ เช่นคุณนุ้ย ปริมประภา หวังพิชญ์สุข หรือคุณธวัชพงษ์ ตั้งสัจจะพจน์ ที่ล่าสุดมีผลงานเรื่อง “นวด”
งานของคุณปริมประภายังคงเป็นสองมิติอยู่ ตัวละครอาจจะเคลื่อนไหวไม่เนียรนักแต่ก็มีการวาดและออกแบบได้น่ารักดี ผลงานของคุณปริมประภาที่ผมชอบคือเรื่อง “คึ่ย” และ “ลอย” ที่เล่าเรื่องง่ายๆ แต่น่าสนใจและน่าประทับใจ ใครสนใจอยากจะลองดูงานของคุณปริมประภาลองไปหาซื้อมากันมาดูได้นะครับ มีขายที่ร้านหนังสั้น จตุจักรโครงการ 27 ครับ
แต่นักศึกษาก็มีบ้างเหมือนกันนะครับที่มีงานที่น่าสนใจออกมา เช่น “หมึก” ผลงานจากนักศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร ที่ได้รับรางวัลปยุต เงากระจ่างไปในเทศกาลภาพยนตร์สั้นครั้งที่ 10 ที่ผ่านมา แต่ก็คงจะใช้ได้แค่คำว่า “มีบ้าง” งานอย่างเรื่องหมึกคงจะเป็นอะไรที่นานๆ มีออกมาที ยกเว้นแต่ว่านักศึกษาจะถูกกระตุ้นให้สร้างงานที่มีคุณภาพออกมาเรื่อยๆ
ผมคิดว่าความสำเร็จของ “ก้านกล้วย” น่าจะช่วยวงการหนังอนิเมชั่นไทยให้ไปได้ไกลกว่านี้ น่าจะกระตุ้นเด็กไทยให้มองเห็นความสำคัญและสนใจเข้ามาเรียนรู้ แต่อย่างว่าล่ะครับ หนังอย่าง “ก้านกล้วย” ต้องใช้เวลาสร้างนานถึง 4 ปี โดยผลัดเปลี่ยนทีมงานไปหลายรอบ เงินตอบแทนก็อาจจะไม่ได้เยอะจนถึงขั้นคุ้ม ดังนั้นไม่น่าจะใช่ความสนใจอย่างเดียวที่ดึงคนให้เข้ามาทำงานด้านนี้ได้ แต่น่าจะรวมไปถึงสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นคือ “ความอดทน”

South Park: แก๊งเด็กเวร กล้าแหย่แม้กระทั่งพระเจ้า ... :> โดย นคร โพธิ์ไพโรจน์


แมตต์ สโตน และ เทรย์ พาร์คเกอร์ กลายเป็นคู่หูนักทำหนังที่ไม่ว่าจะหยิบจะจับอะไร ดูจะกลายเป็นความล้มเหลวไปเสียทั้งหมด ไม่ว่าจะคุณภาพหรือความสำเร็จ ไม่เชื่อดูผลงานส่วนหนึ่งของพวกเขาอย่าง Baseketball ที่พวกเขาแสดงนำนั้น เกือบจะปิดตำนานยูนิเวอร์แซลเลยทีเดียว หรือ Orgazmo ที่เละเทะจน เอ่อ...ไม่พูดดีกว่า ขณะเดียวกัน พวกเขาจะกลายเป็นหนุ่มเท่ทันทีที่เลือกจับงานอนิเมชั่น ยกตัวอย่างเช่น Team America: World Police ที่ใช้หุ่นเชิดแสดงนำนั้น บ้าบิ่นพอที่จะเข้าชิงเอ็มทีวี อวอร์ด และที่เป็นตำนานแห่งวงการโทรทัศน์ และภาพยนตร์ คงไม่พ้นอนิเมชั่นหยาบคาย ที่พูดถึงเด็กนรก 4 คน แห่ง South Park
หลังจากออกอากาศครั้งแรกในปี 1997 South Park เดินทางเข้าสู่ปีที่10 ได้ในที่สุด ซึ่งจากสถิติแล้ว นี่คือการ์ตูนซีรีส์ที่ออกอากาศนานที่สุด เป็นอันดับ 3 ในอเมริกา รองจาก The Simpsons และ Rugrats เท่านั้น นอกจากนี้ เมื่อปี 2005 South Park ยังได้รับการโหวตให้ติดอันดับ 100 การ์ตูนยอดเยี่ยมตลอดกาล เป็นอันดับที่ 3 เช่นกัน โดยรองจากสองอมตะอย่าง The Simpsons และ Tom and Jerry และที่สำคัญ ในปีเดียวกันนี้ South Park ยังได้รับรางวัลเอ็มมี่ หรือออสการ์แห่งวงการโทรทัศน์ ในสาขา ซีรีส์อนิเมชั่นยอดเยี่ยม มาการันตีอีกด้วย
เจ้าเด็ก 4 คน ที่ห่าม บ้า และโหด มันมีอะไรดีนักหนา ถึงได้ครองใจผู้ชมมาได้เกือบ 10 ปีขนาดนี้ ถ้าตอบแบบกำปั้นทุบดิน คงเพราะมันห่าม บ้า และโหด นั่นแหละที่เป็นเสน่ห์ของ South Park จนสามารถอยู่ยงคงกระพันมาได้ถึงทุกวันนี้ แล้วอะไรล่ะที่ทำให้เกิดการ์ตูนสุดป่วนเรื่องนี้ขึ้นมาได้
ในปี 1992 ตอนนั้น เทรย์ พาร์คเกอร์ กับ แมตต์ สโตน ยังเป็นนักเรียนหนังอยู่ที่มหาวิทยาลัยโคโลราโด ทั้งคู่ได้ร่วมกันสร้างสรรค์อนิเมชั่นขนาดสั้นขึ้นมาเรื่องหนึ่ง นั่นคือ Jesus vs. Frosty ที่พูดถึง เคนนี่ (ดูเผินๆ จะคล้ายกับตัวละคร คาร์ทแมนใน South Park) และเพื่อนซี้นิรนาม (นี่ก็คล้าย ไคล์) ที่รวมหัวกันฆาตกรรมสโนว์แมน เพียงเพื่อแย่งหมวกเวทมนต์มาครองให้ได้เท่านั้น
หลังจากนั้น ผู้บริหารของฟ๊อกซ์ มีโอกาสได้ชม Jesus vs. Frosty ทำให้ สโตนและพาร์คเกอร์ ได้รับอานิสงส์ ได้สร้างอนิเมชั่นเป็นเรื่องที่ 2 The Spirit of Christmas ที่หน้าตาของ South Park เริ่มเด่นชัดขึ้น เมื่อพระเจ้า ทำสงครามกับซานตาคลอส เป็นเหตุให้เด็กๆ ต้องออกมาปกป้องคริสต์มาสของเขา หนังนั้นฮิตมากในหมู่นักดูหนังใต้ดิน โดยเฉพาะอย่างยิ่งในอินเตอร์เน็ต และนี่เองที่ทำให้ทั้งคู่ได้ก้าวขึ้นมาทำ South Park
South Park เก็บเรตติ้งช่วงกลางคืนมาโดยตลอด กระทั่งในปี 1999 คู่หูนักทำหนัง พาร์คเกอร์และสโตน จึงได้โอกาสพา แสตน, ไคล์, คาร์ทแมน และ เคนนี 4 เด็กแสบแห่ง South Park ขึ้นจอหนังอย่างพร้อมหน้าพร้อมตากันเสียที กับ South Park: Bigger, Longer & Uncut แน่นอน เมื่อครั้งอยู่ในจอแก้ว ความห่าม ความรุนแรง และความหยาบคาย ไม่สามารถได้รับการเสนอออกมาอย่างเต็มที่ อย่ากระนั้นเลย ขึ้นจอใหญ่ทั้งที พาร์คเกอร์กับสโตนจึงปล่อยของออกมาอย่างเต็มเหนี่ยว จนได้รับเกียรติติดเรต NC-17 เข้าให้ ลำพังพาร์คเกอร์กับสโตน ไม่ยี่หระอยู่แล้ว แต่คนที่มีปัญหาคือพาราเมาท์ ผู้จัดจำหน่ายหนังในอเมริกาต่างหาก เพราะเดิมที สตูดิโอต้องการให้หนังหยุดอยู่ที่เรต PG-13 ด้วยซ้ำ
South Park: Bigger, Longer & Uncut แอบทำเก๋ ด้วยการขึ้นจอใหญ่ในรูปของหนังเพลง แต่เพลงใน South Park ย่อมไม่ธรรมดา ไม่เชื่อลองดูชื่อเพลงเหล่านี้ Uncle F*cka, What Would Brian Boitano Do? และ Blame Canada แต่ พาร์คเกอร์กับสโตน ไม่ได้เก๋แต่เพียงลำพัง เพราะคณะกรรมการออสการ์ก็เอากับเขา ด้วยการเสนอชื่อ Blame Canada เข้าชิงเพลงประกอบภาพยนตร์ยอดเยี่ยม แต่สุดท้ายคณะกรรมการก็ห่ามไม่ถึงที่สุด เพราะผู้ชนะคือ You’ll Be in My Heart จากการ์ตูนดิสนีย์เรื่อง Tarzan นั่นเอง
ความรุนแรงในหนัง ทำให้เกิดกลุ่มที่เคร่งศาสนา การเมือง ลุกฮือขึ้นมาต่อต้าน เพราะสิ่งที่เห็นในหนัง มีทั้งฉากเซ็กซ์ของซาตานกับซัดดัม ฮุสเซ็น มีการฆาตกรรมเด็กอย่างทารุณ มีการฆ่าตัวตาย มีฉากนู้ด คำหยาบ และอื่นๆ อีกมากมาย
ตัวหนังนั้นเป็นที่ฮือฮาไปทั่วโลก แม้ว่ากว่าครึ่งโลกจะแบนหนังเรื่องนี้ก็ตาม (ประเทศไทยเป็นหนึ่งในนั้น) และทำให้เทรย์ พาร์คเกอร์ กับ แมตต์ สโตน กลายเป็นนักสร้างหนัง และนักสร้างวัฒนธรรมใหม่ไปในคราวเดียวกัน ถึงแม้ Team America: World Police อนิเมชั่นเรื่องถัดมาของพวกเขา จะได้รับคำชมจากนักวิจารณ์ แต่กลับนิ่งสนิทในบ็อกซ์ ออฟฟิศ คงไม่มีอะไรเหมาะสมกับทั้งคู่ไปกว่า South Park อีกแล้ว และดูเหมือนว่าพวกเขาจะรู้ตัวเองเช่นกัน เพราะล่าสุด ทั้งคู่ออกมาให้สัมภาษณ์แล้วว่า ปี 2010 คุณยังได้ดู South Park แน่นอน
เก็บตกจาก South Park
- เคนนี่ ตายเกือบทุกตอนในฉบับการ์ตูนที่ออกฉายทางโทรทัศน์ และเกือบทุกครั้งที่เคนนี่ตาย จะมีหนูวิ่งกรูกันออกมาแทะศพ แล้ววิ่งออกไป
- ปี 2002 South Park: Bigger, Longer & Uncut ได้รับการบันทึกลงกินเนสบุ้คเรียบร้อยแล้วว่า เป็นภาพยนตร์อนิเมชั่นที่มีความรุนแรงมากที่สุดในโลก นั่นคือ มีคำหยาบหลุดออกมาถึง 399 ครั้ง ฉากที่แสดงความก้าวร้าวอีก 199 ฉาก และมีการแสดงความโหดร้ายอีก 221 ฉาก
- จอร์จ คลูนีย์ ถือเป็นผู้มีพระคุณคนหนึ่งของทั้งเทรย์ พาร์คเกอร์ และแมตต์ สโตน เพราะคลูนีย์คือส่วนสำคัญในการเผยแพร่ The Spirit of Christmas ดังนั้น เพื่อเป็นการทดแทนบุญคุณ ทั้งคู่จึงชวนคลูนีย์มาให้เสียงพากย์ในตอน Big Gay Al’s Big Gay Boat Ride ในบท...หมาเกย์! โดยที่ตัวละครนี้ไม่มีบทพูดอีกต่างหาก มีแต่เสียงเห่าเท่านั้น (เอาเข้าไป) หลังจากนั้น คลูนีย์ยังได้มาให้เสียงพากย์เป็นคุณหมอที่ปล่อยให้เคนนี่ตาย (ล้อเลียนตัวเองจาก ER) ใน South Park: Bigger, Longer & Uncut อีกด้วย
- ลักษณะตัวละครของ 4 เด็กแสบ ได้รับแรงบันดาลใจมาจากภาพการ์ตูนในหนังเรื่อง Monty Python’s Flying Circus โดยฝีมือของของเทอร์รี กิลเลียม ฮีโร่ของพวกเขา
- ใครนึกสนุก อยากสร้างสรรค์ตัวละครใหม่ของ South Park ในรูปแบบของตัวเอง เชิญได้เลยที่ http://images.southparkstudios.com/games/create/

Scream (1996): หวีด...ระยะสุดท้าย :>โดย นคร โพธิ์ไพโรจน์


Scream ภาพยนตร์โดย เวส คราเวน ผู้สร้างตำนานเฟรดดี้ ครูเกอร์ แห่ง นิ้วเขมือบ (A Nightmare on Elm Street) และนำแสดงโดยสาวซ่า ดรูว์ แบร์รีมอร์
ข้อมูลข้างต้น เป็นไม้ตายที่ใช้สำหรับโฆษณาหนังสยองขวัญวัยรุ่นเรื่องดังแห่งปี 1996 แต่ของเด็ดเท่าที่มีนั้นไม่ได้น่าสนใจอะไรมากมาย เพราะในครั้งนั้น เวส คราเวน ยังคงเป็นผู้กำกับหนังเกรดบี ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งเท่านั้น ส่วน ดรูว์ แบร์รีมอร์ เองก็เพิ่งจะกู้ชื่อเสียงที่เหม็นโฉ่ขึ้นมาได้ไม่นานเท่าไหร่ด้วย ผลสุดท้ายรายรับเปิดตัวของ Scream จึงไม่ได้แตกต่างจากหนังสยองขวัญเรื่องอื่นๆ ในยุคนั้น ที่กำลังอยู่ในช่วงขาลงสุดๆ
หลังจากนั้นไม่นาน Scream ได้กลายเป็นกรณีศึกษาที่ดีของอำนาจผู้บริโภค เพราะทันทีที่หนังออกฉายสัปดาห์แรก การโฆษณาแบบปากต่อปากได้ทำหน้าที่ด้วยตัวของมันเอง จนสามารถยืนโรงฉายได้ร่วมค่อนปี และรายรับยังสามารถทะลุ 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ได้อีกต่างหาก
“คุณชอบดูหนังสยองขวัญเรื่องอะไร ?”
ถ้าคุณได้รับโทรศัพท์ แล้วเสียงปลายสายคุณถามคำถามนี้ ในขณะที่คุณอยู่บ้านคนเดียว และกำลังจะเปิดหนังดู คุณจะรู้สึกอย่างไร?
ใช่แล้ว Scream เปิดตัวมาด้วยฉากนี้ ดรูว์ แบร์รีมอร์ ในบท เคซีย์ เบ็คเกอร์ สาวใสไฮสคูล กำลังเตรียมเปิดหนังสยองขวัญนั่งดูเพียงลำพัง ทันใดนั้นเอง เสียงโทรศัพท์เจ้ากรรมเกิดดังสนั่นขึ้น เมื่อเคซีย์รับ คำถามสุดสยองเริ่มจู่โจมเธอทันที ด้วยความเป็นสาวมั่น เธอจึงต่อล้อต่อเถียงกับไอ้โรคจิตปลายสาย โดยหารู้ไม่ว่ามันกำลังมองเธออยู่ที่มุมหนึ่งในบ้าน จากนั้น การไล่ล่าจึงเกิดขึ้น สุดท้าย เคซีย์ถูกฆาตกรโหดภายใต้หน้ากากผีกะซวกท้องเข้าเต็มแรง ก่อนที่จะถูกแขวนคออยู่ใต้ต้นไม้ เสียชีวิตอย่างน่าอนาถ
เมื่อมาถึงตรงนี้ ผู้ชมส่วนใหญ่เริ่มมองหน้ากันเหรอหรา ในเมื่อดาราที่ดังที่สุดในเรื่องอย่าง ดรูว์ แบร์รีมอร์ ดันมาตายเสียตั้งแต่ฉากแรก นอกจากนี้ นักแสดงที่เหลือยังเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ ดังนั้น ความรู้สึกของคนดูหลังจากนี้คือลังเลว่าจะเอาใจช่วย หรือจะสงสัยในพฤติกรรมของตัวละครที่กำลังดูอยู่ เพราะถึงขั้นนี้แล้ว อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น และนี่เองที่เป็นเสน่ห์ของ Scream
ในขณะที่หลายคนกำลังลุ้นระทึกไปกับเรื่องราวบนจอภาพยนตร์ อีกส่วนหนึ่งของผู้ชม กำลังสนุกอยู่กับการนึกถึงหนังที่ตัวละครในเรื่องกล่าวอ้าง เพราะเริ่มแรก เวส คราเวน ต้องการจะทำหนังเพื่อล้อเลียนหนังสยองขวัญหลายๆ เรื่อง โดยการรวบรวมธรรมเนียมที่หนังสยองขวัญพึงมี อย่างเช่น ทำไมเหยื่อสาวต้องวิ่งหนีฆาตกรขึ้นบันได ทำไมไม่ออกทางประตู หรือทำไมตำรวจต้องมาหลังจากเรื่องราวคลี่คลายเสร็จหมดแล้ว เป็นต้น ความสนุกเหล่านี้จึงทำให้ Scream กลายเป็นหนังสยองขวัญ ที่เจืออารมณ์ขันเอาไว้ด้วยอย่างชาญฉลาด (อย่างฉากเปิดตัวยังมาจาก When a Stranger Calls หนังสยองขวัญในอดีต)
สาเหตุที่คราเวนอยากทำหนังให้ออกมาในอารมณ์นี้ เป็นเพราะ หลังจากคราเวน เปิดตำนานของ เฟรดดี้ ครูเกอร์ เมื่อปี 1984 หนังภาคต่อของนิ้วเขมือบจึงออกมาพบกับผู้ชมอีกชุดใหญ่ โดยฝีมือคนอื่น ผลที่ออกมาจึงเละไม่เป็นท่า ก่อนที่เสน่ห์ของ เฟรดดี้ ครูเกอร์จะจางหาย คราเวนจึงออกโรงปิดตำนานนิ้วเขมือบด้วยตัวเอง ในปี 1994 ด้วย New Nightmare ในรูปแบบของหนังซ้อนหนัง โดยหลังจากอยู่ภายใต้เมคอัพเละเทะในบทเฟรดดี้มานาน ครั้งนี้ โรเบิร์ต อิงลันด์ ถึงได้มีโอกาสอวดโฉมหน้าที่แท้จริง ด้วยการเล่นเป็นตัวเอง และรูปแบบการนำเสนอของคราเวนครั้งนี้ ทำให้ นิ้วเขมือบทุกภาค กลายเป็นของคลาสสิคขึ้นมาในทันที จากจุดนี้เอง ที่ทำให้คราเวนนึกสนุกอยากรวบรวมมุกฆ่าคน ในหนังสยองขวัญหลายๆ เรื่อง (ไม่เว้นแม้แต่ของเขาเอง) เอาไว้ในหนังเรื่องเดียว
แน่นอน เมื่อภาคแรกฮิตติดลมบน ความคิดริเริ่มที่จะทำเป็นไตรภาคของคราเวน จึงเป็นความจริงขึ้นมา Scream 2 เปิดตัวในปี 1997 ด้วยรายรับที่ทะยานสู่อันดับ 1 บนตารางบ็อกซ์ ออฟฟิศ อย่างสวยงาม ตามด้วยภาค 3 ในปี 2000 กับรายรับที่ถล่มทลายไม่ต่างจากสองภาคแรกเท่าใดนัก การเป็นหนังดีให้เท่าภาคแรกไม่ได้ คงไม่น่าพูดถึงเท่าใดนัก แต่เสน่ห์ต่างหาก ที่หายไปตามจำนวนภาคที่เกิดขึ้น เพราะภาคต่อๆ มายังคงพยายามล้อเลียนหนังสยองขวัญอยู่นั่นเอง แต่สิ่งที่ Scream ภาคแรกได้สร้างไว้ ได้กลายเป็นบันทึกบทสำคัญ สำหรับการศึกษาขนบธรรมเนียม และวัฒนธรรม ของวัยรุ่นในยุค 90 ได้เป็นอย่างดี
เก็บตก จาก Scream
- หลังจากความสำเร็จของ Scream เควิน วิลเลียมสัน ผู้เขียนบท จึงออกมาหากินด้วยการเขียนบทให้กับ I Know What You Did Last Summer หนังสยองขวัญแนวเดียวกัน จนประสบความสำเร็จ หลังจากนั้นจึงมีหนังประเภทนี้ออกมาอีกเพียบ ทั้ง I Still Know What You Did Last Summer, Urban Legend, Valentine และอีกหลายเรื่อง จนสุดท้ายก็ค่อยๆ หายเงียบไปตามระเบียบ
- ในเมื่อความสยองไม่สามารถช่วยอะไรได้อีกแล้ว จึงทำให้เกิดหนังสยองขวัญล้อเลียนขึ้นมาชุดใหม่ ในชื่อ Scary Movie ซึ่งยังคงล้อเลียนหนังสยองขวัญ แต่บ้าบอคอแตกอย่างเต็มที่ หนังเป็นที่ถูกอกถูกใจคอหนังเป็นอย่างมาก จนกลายเป็นของตายที่ตอนนี้เก็บเกี่ยวความสำเร็จมาถึงภาค 4 แล้ว และยังมี Not Another Teen Movie และ Date Movie ตามออกมาอีกชุดด้วย
- เวส คราเวน เริ่มอยากเปลี่ยนแนว โดยการหันไปกำกับหนังชีวิตสุดซึ้งที่ส่งให้เมอรีล สตรีพ เข้าชิงออสการ์เป็นครั้งที่ 12 (สถิติสูงสุดเท่า แคทเธอรีน เฮพเบิร์น ก่อนจะทำลายสถิติได้จาก Adaptation ปี 2002) เรื่อง Music of the Heart คราเวนทำได้ประทับใจจนไม่มีใครเชื่อว่า หนังเรื่องนี้กำกับโดยผู้กำกับ Scream และนิ้วเขมือบ
- เนฟ แคมพ์เบลล์ เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง เธอกลายเป็นสัญลักษณ์ของหนัง ควบคู่ไปกับหน้ากากผี แต่ไม่ยักมีใครจ้างเธอไปเล่นหนังประเภทอื่น เพื่อพิสูจน์ฝีมือ เธอจึงติดต่อผู้กำกับชั้นครู โรเบิร์ต อัลต์แมน มากำกับ The Company หนังที่เธอวางโครงเรื่องด้วยตัวเอง อำนวยการสร้างเอง และนำแสดงเอง หนังพูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับนักเต้นบัลเลย์ ดังนั้นเธอจึงงัดพรสวรรค์ทั้งหมดเท่าที่มี จนสามารถชนะใจนักวิจารณ์ และตอนนี้เธอคือนักแสดงขายฝีมือคนหนึ่งของวงการ แต่ยังไม่สามารถสลัดคราบ ซิดนีย์ เพรสคอตต์ นางเอกจอมหวีด ออกจากตัวได้อยู่ดี
- หลังจาก Scream ดรูว์ แบร์รีมอร์ พยายามล้างภาพลักษณ์สาวซ่า มาเป็นสาวหวานอย่างเต็มที่ (การตายของเธอในหนัง เปรียบเสมือนการฆ่าดรูว์ แบร์รีมอร์ คนเก่า เพื่อไปพบกับคนใหม่) เธอกระโดดไปเป็นนางเอกของอดัม แซนด์เลอร์ ใน The Wedding Singer ได้อย่างน่ารักน่าชัง จากนั้นจึงตอกย้ำด้วยหนังหวานๆ อีกเป็นโหล อย่าง Ever After, Home Fires และ Never Been Kissed สุดท้าย เธอกลายเป็นหญิงผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งในฮอลลีวูด นับว่าแผนการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของเธอ ประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม
- Scream เปรียบเสมือนบันทึกรักของคนคู่หนึ่ง นั่นคือ เดวิด อาร์เคว็ตต์ ผู้รับบท ดิวอี้ กับ คอร์ตนีย์ ค็อกซ์ ผู้รับบท เกล เพราะทั้งคู่ตกหลุมรักกันจริงๆ ในภาค 1 จากนั้นทั้งคู่ตัดสินใจหมั้นหมายกันในภาค 2 และในภาค 3 ไม่มีคอร์ตนีย์ ค็อกซ์ แสดงกับ เดวิด อาร์เคว็ตต์อีกแล้ว แต่มี คอร์ตนีย์ ค็อกซ์ อาร์เคว็ตต์ แทน ปัจจุบันนี้ ทั้งคู่และลูกน้อยเป็นครอบครัวที่คนทั้งฮอลลีวูด อิจฉากันถ้วนหน้า

Daniel Burman คลื่นลูกใหม่ หนังเลือกทาง


เดเนียล เบอร์แมน ผู้กำกับที่ถือเป็นคลื่นลูกใหม่ของวงการหนังอาร์เจนติน่า เขาเป็นยิว เชื้อสายโปแลนด์ ที่เกิดในบัวโนส ไอเรส ดังนั้นตัวละครส่วนใหญ่ของเขามักจะเป็นชาวยิวที่อาศัยอยู่ในบัวโนส ไอเรสเช่นเดียวกับเขา เมืองซึ่งเป็นสถานที่ๆ ได้ชื่อว่าเป็นชุมชนชาวยิวที่ใหญ่ที่สุดในลาตินอเมริกา เรื่องราวหรือสถานการณ์ส่วนใหญ่ในหนังของเขามักยืนอยู่บนสถานการณ์ความขัดแย้งทางด้านทัศนคติการดำเนินชีวิต และความที่ไม่สามารถร่วมทางกันได้ของตัวละครที่ยึดถือในวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน หนังแนวดราม่า คอมาดี้ของเขามักถูกนำไปเปรียบเทียบ กับผลงานของวูดี้ อัลเลน ทั้งในความใกล้เคียงกันในเรื่องตัวละคร และสถานการณ์ แต่เขามักจะออกมาปฏิเสธโดยทันทีว่าหนังของเขากับวูดี้ อัลเลนนั้นแตกต่างกัน โดยเฉพาะในแง่ของตัวละคร เบอร์แมนเคยกล่าวถึงความแตกต่างตรงนี้ไว้ในการให้สัมภาษณ์ไว้ตอนที่เขาทำหนังเรื่อง Lost Embrace ว่า “หนังของวูดี้ อัลเลนมีตัวละครที่ตกอยู่ในสภาวะอันเลวร้าย ขณะที่ตัวละครเหล่านั้นอาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนท์ราคา 100 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่พวกเขายังมีเวลานั่งคิดไตร่ตรองถึงสถานการณ์ที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่ ส่วนตัวละครของผมนั้น อาจจะตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน แต่พวกเขาต้องเอาชีวิตรอดจากสถานการณนั้นมากกว่าจะมีเวลามานั่งคิด”
A Chrysanthemum Bust in Cincoesquines คือหนังเรื่องแรกของเขาในปี 1998 ที่เล่าเรื่องชายหนุ่มผู้ตามหาตัวฆาตกรที่ฆ่าพี่เลี้ยงเด็กของเขา โดยมีชายชาวยิวเป็นผู้ช่วย ด้วยความที่ตัวหนังเต็มไปด้วยดนตรีประกอบแปลกๆ แ ละเทคนิคด้านภาพที่ดูหวือหวาเกินไป ทำให้หนังทั้งเรื่องดูสับสนไปหมด
หลังจากนั้น 3 ปี เบอร์แมนกลับมาพร้อมหนังเรื่องใหม่ของเขา Waiting for the Messiah ที่สามารถทำให้ชื่อของเขาเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น เมื่อมันได้มีโอกาสได้เข้าฉายในเทศกาลหนังต่างๆ อาทิ เทศกาลหนังเวนิช เทศกาลหนังโตเกียว เป็นต้น เขากลับมาพร้อมแนวทางที่ชัดเจนมากขึ้นในแนวทางของหนังดราม่า คอมาดี้ กับประเด็นความขัดแย้งของตัวละครที่จะต้องเผชิญหน้าระหว่างการเชื่อถือธรรมเนียมปฏิบัติในสิ่งที่ครอบครัวทำกันมา กับสิ่งที่ตนเองต้องการ และยังเป็นการร่วมงานครั้งแรกของเบอร์แมน กับ แดเนี่ยล แฮนด์เลอร์ ซึ่งถือว่าเป็นนักแสดงขาประจำของเบอร์แมนในอีกหลายๆ เรื่องต่อมาเลยทีเดียว มันเป็นการทำหนังที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขาเรื่องแรกที่พูดถึงความขัดแย้งในตัวคนรุ่นใหม่ ที่อยู่ในชนชั้นกลาง และการเป็นยิวที่อาศัยอยู่ในอาร์เจนติน่า โดยเขามักนำเสนอสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกับผู้คนที่อาศัยอยู่ในบัวโนส ไอเรส
หลังจากนั้นเขาหันไปทำหนังสารคดีเรื่อง Seven Days in Once ซึ่งพูดถึงสภาวะภายหลังเหตุการณ์วิกฤต AMIA ในปี 1997 ก่อนที่จะกลับมาพร้อมหนังเรื่อง Every Stewardess Goes to Heaven แต่การกลับมาครั้งนี้ของเขาไม่เป็นที่ประทับใจเท่าที่ควร ด้วยความคึกคะนอง และการเล่าเรื่องแบบเหนือจริงเกินไป ทำให้หนังเต็มไปด้วยบทสนมนาที่ฟุ่มเฟือย เนื้อเรื่องที่แบนราบ จนฉากต่างๆ ในเรื่องไม่สามารถจับต้นชนปลายได้ถูก ส่วนฉากที่มีความสำคัญก็ถูกทำให้ไม่น่าสนใจ
แต่ภาพยนตร์เรื่องต่อมา Lost Embrace นั้น เหมือนกับการกลับมาแก้ตัวใหม่อีกครั้ง ด้วยความที่หนังมีพลัง จนสามารถส่งให้เบอร์แมนคว้ารางวัลซิลเวอร์ แบร์ หรือภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ในปี 2004 จากเทศกาลหนังเบอร์ลิน พร้อมกับนักแสดงนำของเขา แฮนด์เลอร์ ก็สามารถคว้ารางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยมจากที่นี่เช่นกัน กับบทบาทของเอเรียล หนุ่มชาวยิวผู้อาศัยอยู่ในบัวโนส ไอเรส ที่คิดถึงพ่อของเขาที่เดินทางไปยังอิสราเอลก่อนที่เขาจะเกิด และเขาเองก็อยากจะจากชีวิตที่เป็นอยู่เพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในยุโรป หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยรูปแบบการเล่าเรื่องที่ยากจะคาดเดา จนคนดูไม่สามารถรูว่าตอนจบจะลงเอยอย่างไร
ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขา Family Law ได้รับเสียงชื่นชมจากผู้ชม หลังจากที่มันได้มีโอกาสไปฉายที่เทศกาลหนังเบอร์ลิน ประจำปี 2006 อย่างท่วมท้น จนสามารถคว้ารางวัลขวัญใจคนดูมาได้ หนังยังคงเล่าเรื่องในประเด็นความขัดแย้งระหว่างคนรุ่นเก่า และรุ่นใหม่ ในการแสวงหาจุดยืนเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตที่เป็นอยู่ มันสะท้อนถึงความความหวาดกลัวการเติบโต ความหวาดกลัวต่อสิ่งที่ไม่แน่นอนในชีวิต โดยตัวหนังถ่ายทอดออกมาด้วยมุมมองเชิงสารคดี ที่ใช้การถือถ่าย และการตัดสลับไปมาอย่างดูไม่ต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ของแก่นเรื่องให้แก่ผู้ชมได้เข้าใจมากขึ้น
ดังนั้น เราจะพอเห็นได้ว่าหนังของเบอร์แมนนั้นมักพุ่งประเด็นไปที่การนำเสนอเรื่องราวของชาวยิวยุคใหม่ และเก่าที่อาศัยอยู่ในบัวโนส ไอเรส การแสวงหาความเปลี่ยนแปลงต่อวิถีชีวิตของผู้คน ด้วยมุมมองของการทำให้มันออกมาดูสมจริงคล้ายหนังสารคดี จนหลายคนมองว่าหนังหลายเรื่องของเขาได้สะท้อนเรื่องราวในความคิดของเขา หรือตัวละครบางตัวเป็นตัวแทนของตัวเขาเองในชีวิตจริง แต่ขณะเดียวกันมันกลับเต็มไปด้วยความหมายและวิธีการตามแบบของหนังดราม่าคอมาดี้ ซึ่งมันกลายเป็นเครื่องหมายประจำตัวของเขาไปแล้ว ที่เขายืนยันว่ารูปแบบหนังของเขานั้น ไม่ใช่วูดี้ อัลเลน หรือ แนนนี่ มอรอทติ แน่นอน
นอกจากการที่เขาเป็นผู้กำกับที่มีแนวทางชัดเจนในหนังตัวเองแล้ว เขายังเป็น หนึ่งในผู้อำนวยการสร้างที่ร่วมส่งหนังให้ประสบความสำเร็จมาแล้วใน The Motorcycle Diaries หนังที่พูดถึงชีวิตวัยหนุ่มของ เชว์ กูวาลา ที่ออกตามหาความหมายของชีวิตอีกด้วย จนมีคนเคยถามเบอร์แมนว่า เขาเองไม่อยากที่จะมาทำหนังในฮอลลีวูดบ้างเลยหรือ เนื่องจากมีคนเคยเห็นเขามาเยือนลอสแองเจลลิสอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเบอร์แมนก็ตอบคำถามนี้ไว้อย่างชัดเจนว่า เขาคิดว่าการที่เขาได้ทำหนังในบ้านเกิดนั้นสบายใจ และได้ผลงานที่ออกมาดีและถูกใจเขาอย่างทุกวันนี้ก็พอแล้ว