
ผมเคยได้ยินมาว่าการทำการ์ตูนเป็นเรื่องที่ต้องใช้ความอดทนอย่างมาก แต่ละวินาทีกว่าจะได้มาคือการถ่ายภาพ 24 ภาพ จัดท่าทางของแต่ล่ะภาพ 24 ท่าทาง และมันก็เป็นการขยับทีละนิดๆ ด้วย (กรณีนี้คือถ่ายด้วยฟิล์มนะครับ ถ้าใช้กล้องวีดีโอถ่ายหรือกล้องดิจิตอล (ภาพนิ่ง) ถ่าย จะเป็น 25 เฟรมต่อวินาที)
ตัวผมเองเคยลองทำงานสต็อปโมชั่นเล็กๆ ที่เอาสิ่งของมาขยับไปมา และถ่ายภาพเพื่อเอามาประกอบรวมกันแค่สองสามร้อยภาพ ยังรู้สึกว่ายากเลย คิดว่าคนที่ทำด้วยความละเอียดและตั้งใจกว่านั้นคงจะต้องใช้เวลามาก บางเรื่องจึงอาจจะยาวแค่สองสามนาที แต่อาจจะใช้เวลาเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือนเพื่อการผลิต
แต่หากมีขั้นตอนที่ไม่ซับซ้อนมากนัก ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ค่อยสร้างได้เต็มร้อย นั่นคือภาพที่ถูกกำหนดไว้ที่ 24 เฟรมต่อวินาที นักศึกษาภาพยนตร์ในบ้านเราก็อาจจะทำประมาณ 10-15 เฟรมต่อวินาที
อนิเมชั่น 2 มิตินั้นปัจจุบันดูจะหายากเนื่องจากใช้เวลาในการทำค่อนข้างนาน ไม่ว่าจะหนังขนาดสั้นหรือว่าหนังที่เข้าฉายในโรง ส่วนใหญ่ที่ได้เห็นในตอนนี้ที่รองจากอนิเมชั่น 3 มิติ เห็นจะเป็นสต็อปโมชั่นอย่างที่ผมเคยทำ แต่ส่วนใหญ่เมื่อเป็นสต็อปโมชั่น ก็จะใช้ดินน้ำมันปั้นๆ เป็นตัวแล้วจับขยับท่าขยับทางกันไป แต่เมื่อเป็นดินน้ำมัน อาจจะเป็นเรื่องที่ทั้งดีและไม่ดี ที่ว่าดีคือมันสามารถขยับท่าได้ง่าย แต่ที่ไม่ดีคือมันจะเละได้ง่าย เมื่อจับขยับท่าบ่อยๆ
ผมไม่เคยลองใช้สต็อปโมชั่นแบบดินน้ำมัน จึงไม่รู้ว่าเขามีวิธีการอย่างไรที่จะไม่ทำให้ดินน้ำมันหรือวัสดุที่เขาใช้ในการทำหุ่นนั้นเละคามือระหว่างทำไปเสียก่อน คนที่ทำส่วนใหญ่น่าจะสร้างหุ่นตามโครงที่เตรียมไว้ ผมเคยอ่านเจอจากการสอนเรื่องทำสต็อปโมชั่นว่า หุ่นที่ใช้จะต้องมีการเตรียมโครง เหมือนกับว่าเป็นกระดูกให้แก่มัน คือเจ้าโครงที่ว่านี้จะต้องมีข้อต่อเหมือนคน มีข้อพับแขน (มันขึ้นอยู่กับว่าเอาละเอียดแค่ไหน ผมว่าถ้าละเอียดมากๆ โครงสร้างของหุ่นคงจะเท่ากับโครงกระดูกของมนุษย์เลยทีเดียว)
พอมีตัวละครก็ต้องมีฉาก ผมว่าฉากสร้างไม่ยากเท่าไหร่นะครับ หากคิดจะทำจริงๆ ในเมื่อมันเป็นการ์ตูนก็ไม่ต้องไปคำนึงถึงความสมจริงอะไรมากนักก็ได้ (อันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ) มันจะยืนอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง หรือโลกสมมุติที่ผู้กำกับคิดขึ้นเองก็ได้
ส่วนอนิเมชั่น 3 มิติ นั้นเหมือนจะสบายกว่าเพราะขึ้นอยู่กับคอมพิวเตอร์ แต่ผมว่ากว่าจะสร้างภาพทีละเฟรมมันก็คงจะยากไม่ต่างกัน เพราะต่างก็ชื่อได้ว่าต้องสร้าง “ทีละภาพ” เหมือนกันหมด ผมว่าสิ่งที่ยากที่สุดของการทำอนิเมชั่น 3 มิติ น่าจะเป็นเรื่องของการออกแบบ หรือร่างภาพของโลกที่เราจะสร้างขึ้นด้วยคอมพิวเตอร์ และปัญหาอีกอย่างก็อยู่ที่คอมพิวเตอร์ที่สร้างงาน ว่าจะสามารถรองรับระดับการทำงานอย่างที่คุณต้องการได้มากแค่ไหน สรุปแล้วงานจากคอมพิเตอร์ที่เหมือนน่าจะง่ายกกว่า อาจจะต้องใช้ความสามารถ ความคิด และความอดทนเทียบเท่ากับงานอนิเมชั่นอื่นๆ
ย้อนกลับมาเรื่องความเนียนของภาพ อย่างที่ว่าไว้ข้างต้น ว่าส่วนใหญ่ที่เห็นมาจากงานหนังสั้นของบ้านเรา ที่เป็นอนิเมชั่นจะไม่ค่อยเนียบมากเท่าไหร่ ผมพอจะเข้าใจดีว่า
หนึ่ง อาจจะเพราะเป็นงานต้องส่งอาจารย์ มันเลยต้องรีบเร่ง
สอง เพราะมันเป็นเรื่องที่เสียเวลาเอามากๆ คนเราโดยเฉพาะนักศึกษาต่างมีอะไรเยอะแยะต้องทำ ไหนจะเรื่องสอบ ไหนจะเรื่องไปเที่ยวกับแฟน หรือไหนจะงานอื่นๆ อีก ไอ้การจะให้มานั่งทำงานที่ใช้เวลาและต้องอุทิศตนมากๆ แบบนี้นี่คงจะไม่ไหวหรอกครับ
ดังนั้นถ้าหากคุณหวังจะได้ดูงานที่เจ๋งจริงๆ จากวงการการ์ตูนหนังสั้น คงจะต้องหวังเอาจากมืออาชีพเป็นหลัก ผมว่ามืออาชีพหลายคนบ้านเราทำหนังการ์ตูนสั้นได้น่าสนใจ เช่นคุณนุ้ย ปริมประภา หวังพิชญ์สุข หรือคุณธวัชพงษ์ ตั้งสัจจะพจน์ ที่ล่าสุดมีผลงานเรื่อง “นวด”
งานของคุณปริมประภายังคงเป็นสองมิติอยู่ ตัวละครอาจจะเคลื่อนไหวไม่เนียรนักแต่ก็มีการวาดและออกแบบได้น่ารักดี ผลงานของคุณปริมประภาที่ผมชอบคือเรื่อง “คึ่ย” และ “ลอย” ที่เล่าเรื่องง่ายๆ แต่น่าสนใจและน่าประทับใจ ใครสนใจอยากจะลองดูงานของคุณปริมประภาลองไปหาซื้อมากันมาดูได้นะครับ มีขายที่ร้านหนังสั้น จตุจักรโครงการ 27 ครับ
แต่นักศึกษาก็มีบ้างเหมือนกันนะครับที่มีงานที่น่าสนใจออกมา เช่น “หมึก” ผลงานจากนักศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร ที่ได้รับรางวัลปยุต เงากระจ่างไปในเทศกาลภาพยนตร์สั้นครั้งที่ 10 ที่ผ่านมา แต่ก็คงจะใช้ได้แค่คำว่า “มีบ้าง” งานอย่างเรื่องหมึกคงจะเป็นอะไรที่นานๆ มีออกมาที ยกเว้นแต่ว่านักศึกษาจะถูกกระตุ้นให้สร้างงานที่มีคุณภาพออกมาเรื่อยๆ
ผมคิดว่าความสำเร็จของ “ก้านกล้วย” น่าจะช่วยวงการหนังอนิเมชั่นไทยให้ไปได้ไกลกว่านี้ น่าจะกระตุ้นเด็กไทยให้มองเห็นความสำคัญและสนใจเข้ามาเรียนรู้ แต่อย่างว่าล่ะครับ หนังอย่าง “ก้านกล้วย” ต้องใช้เวลาสร้างนานถึง 4 ปี โดยผลัดเปลี่ยนทีมงานไปหลายรอบ เงินตอบแทนก็อาจจะไม่ได้เยอะจนถึงขั้นคุ้ม ดังนั้นไม่น่าจะใช่ความสนใจอย่างเดียวที่ดึงคนให้เข้ามาทำงานด้านนี้ได้ แต่น่าจะรวมไปถึงสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นคือ “ความอดทน”
ตัวผมเองเคยลองทำงานสต็อปโมชั่นเล็กๆ ที่เอาสิ่งของมาขยับไปมา และถ่ายภาพเพื่อเอามาประกอบรวมกันแค่สองสามร้อยภาพ ยังรู้สึกว่ายากเลย คิดว่าคนที่ทำด้วยความละเอียดและตั้งใจกว่านั้นคงจะต้องใช้เวลามาก บางเรื่องจึงอาจจะยาวแค่สองสามนาที แต่อาจจะใช้เวลาเป็นสัปดาห์หรือเป็นเดือนเพื่อการผลิต
แต่หากมีขั้นตอนที่ไม่ซับซ้อนมากนัก ส่วนใหญ่แล้วจะไม่ค่อยสร้างได้เต็มร้อย นั่นคือภาพที่ถูกกำหนดไว้ที่ 24 เฟรมต่อวินาที นักศึกษาภาพยนตร์ในบ้านเราก็อาจจะทำประมาณ 10-15 เฟรมต่อวินาที
อนิเมชั่น 2 มิตินั้นปัจจุบันดูจะหายากเนื่องจากใช้เวลาในการทำค่อนข้างนาน ไม่ว่าจะหนังขนาดสั้นหรือว่าหนังที่เข้าฉายในโรง ส่วนใหญ่ที่ได้เห็นในตอนนี้ที่รองจากอนิเมชั่น 3 มิติ เห็นจะเป็นสต็อปโมชั่นอย่างที่ผมเคยทำ แต่ส่วนใหญ่เมื่อเป็นสต็อปโมชั่น ก็จะใช้ดินน้ำมันปั้นๆ เป็นตัวแล้วจับขยับท่าขยับทางกันไป แต่เมื่อเป็นดินน้ำมัน อาจจะเป็นเรื่องที่ทั้งดีและไม่ดี ที่ว่าดีคือมันสามารถขยับท่าได้ง่าย แต่ที่ไม่ดีคือมันจะเละได้ง่าย เมื่อจับขยับท่าบ่อยๆ
ผมไม่เคยลองใช้สต็อปโมชั่นแบบดินน้ำมัน จึงไม่รู้ว่าเขามีวิธีการอย่างไรที่จะไม่ทำให้ดินน้ำมันหรือวัสดุที่เขาใช้ในการทำหุ่นนั้นเละคามือระหว่างทำไปเสียก่อน คนที่ทำส่วนใหญ่น่าจะสร้างหุ่นตามโครงที่เตรียมไว้ ผมเคยอ่านเจอจากการสอนเรื่องทำสต็อปโมชั่นว่า หุ่นที่ใช้จะต้องมีการเตรียมโครง เหมือนกับว่าเป็นกระดูกให้แก่มัน คือเจ้าโครงที่ว่านี้จะต้องมีข้อต่อเหมือนคน มีข้อพับแขน (มันขึ้นอยู่กับว่าเอาละเอียดแค่ไหน ผมว่าถ้าละเอียดมากๆ โครงสร้างของหุ่นคงจะเท่ากับโครงกระดูกของมนุษย์เลยทีเดียว)
พอมีตัวละครก็ต้องมีฉาก ผมว่าฉากสร้างไม่ยากเท่าไหร่นะครับ หากคิดจะทำจริงๆ ในเมื่อมันเป็นการ์ตูนก็ไม่ต้องไปคำนึงถึงความสมจริงอะไรมากนักก็ได้ (อันนี้เป็นความคิดเห็นส่วนตัวนะครับ) มันจะยืนอยู่บนพื้นฐานความเป็นจริง หรือโลกสมมุติที่ผู้กำกับคิดขึ้นเองก็ได้
ส่วนอนิเมชั่น 3 มิติ นั้นเหมือนจะสบายกว่าเพราะขึ้นอยู่กับคอมพิวเตอร์ แต่ผมว่ากว่าจะสร้างภาพทีละเฟรมมันก็คงจะยากไม่ต่างกัน เพราะต่างก็ชื่อได้ว่าต้องสร้าง “ทีละภาพ” เหมือนกันหมด ผมว่าสิ่งที่ยากที่สุดของการทำอนิเมชั่น 3 มิติ น่าจะเป็นเรื่องของการออกแบบ หรือร่างภาพของโลกที่เราจะสร้างขึ้นด้วยคอมพิวเตอร์ และปัญหาอีกอย่างก็อยู่ที่คอมพิวเตอร์ที่สร้างงาน ว่าจะสามารถรองรับระดับการทำงานอย่างที่คุณต้องการได้มากแค่ไหน สรุปแล้วงานจากคอมพิเตอร์ที่เหมือนน่าจะง่ายกกว่า อาจจะต้องใช้ความสามารถ ความคิด และความอดทนเทียบเท่ากับงานอนิเมชั่นอื่นๆ
ย้อนกลับมาเรื่องความเนียนของภาพ อย่างที่ว่าไว้ข้างต้น ว่าส่วนใหญ่ที่เห็นมาจากงานหนังสั้นของบ้านเรา ที่เป็นอนิเมชั่นจะไม่ค่อยเนียบมากเท่าไหร่ ผมพอจะเข้าใจดีว่า
หนึ่ง อาจจะเพราะเป็นงานต้องส่งอาจารย์ มันเลยต้องรีบเร่ง
สอง เพราะมันเป็นเรื่องที่เสียเวลาเอามากๆ คนเราโดยเฉพาะนักศึกษาต่างมีอะไรเยอะแยะต้องทำ ไหนจะเรื่องสอบ ไหนจะเรื่องไปเที่ยวกับแฟน หรือไหนจะงานอื่นๆ อีก ไอ้การจะให้มานั่งทำงานที่ใช้เวลาและต้องอุทิศตนมากๆ แบบนี้นี่คงจะไม่ไหวหรอกครับ
ดังนั้นถ้าหากคุณหวังจะได้ดูงานที่เจ๋งจริงๆ จากวงการการ์ตูนหนังสั้น คงจะต้องหวังเอาจากมืออาชีพเป็นหลัก ผมว่ามืออาชีพหลายคนบ้านเราทำหนังการ์ตูนสั้นได้น่าสนใจ เช่นคุณนุ้ย ปริมประภา หวังพิชญ์สุข หรือคุณธวัชพงษ์ ตั้งสัจจะพจน์ ที่ล่าสุดมีผลงานเรื่อง “นวด”
งานของคุณปริมประภายังคงเป็นสองมิติอยู่ ตัวละครอาจจะเคลื่อนไหวไม่เนียรนักแต่ก็มีการวาดและออกแบบได้น่ารักดี ผลงานของคุณปริมประภาที่ผมชอบคือเรื่อง “คึ่ย” และ “ลอย” ที่เล่าเรื่องง่ายๆ แต่น่าสนใจและน่าประทับใจ ใครสนใจอยากจะลองดูงานของคุณปริมประภาลองไปหาซื้อมากันมาดูได้นะครับ มีขายที่ร้านหนังสั้น จตุจักรโครงการ 27 ครับ
แต่นักศึกษาก็มีบ้างเหมือนกันนะครับที่มีงานที่น่าสนใจออกมา เช่น “หมึก” ผลงานจากนักศึกษา มหาวิทยาลัยศิลปากร ที่ได้รับรางวัลปยุต เงากระจ่างไปในเทศกาลภาพยนตร์สั้นครั้งที่ 10 ที่ผ่านมา แต่ก็คงจะใช้ได้แค่คำว่า “มีบ้าง” งานอย่างเรื่องหมึกคงจะเป็นอะไรที่นานๆ มีออกมาที ยกเว้นแต่ว่านักศึกษาจะถูกกระตุ้นให้สร้างงานที่มีคุณภาพออกมาเรื่อยๆ
ผมคิดว่าความสำเร็จของ “ก้านกล้วย” น่าจะช่วยวงการหนังอนิเมชั่นไทยให้ไปได้ไกลกว่านี้ น่าจะกระตุ้นเด็กไทยให้มองเห็นความสำคัญและสนใจเข้ามาเรียนรู้ แต่อย่างว่าล่ะครับ หนังอย่าง “ก้านกล้วย” ต้องใช้เวลาสร้างนานถึง 4 ปี โดยผลัดเปลี่ยนทีมงานไปหลายรอบ เงินตอบแทนก็อาจจะไม่ได้เยอะจนถึงขั้นคุ้ม ดังนั้นไม่น่าจะใช่ความสนใจอย่างเดียวที่ดึงคนให้เข้ามาทำงานด้านนี้ได้ แต่น่าจะรวมไปถึงสิ่งที่สำคัญที่สุด นั่นคือ “ความอดทน”
No comments:
Post a Comment