เดเนียล เบอร์แมน ผู้กำกับที่ถือเป็นคลื่นลูกใหม่ของวงการหนังอาร์เจนติน่า เขาเป็นยิว เชื้อสายโปแลนด์ ที่เกิดในบัวโนส ไอเรส ดังนั้นตัวละครส่วนใหญ่ของเขามักจะเป็นชาวยิวที่อาศัยอยู่ในบัวโนส ไอเรสเช่นเดียวกับเขา เมืองซึ่งเป็นสถานที่ๆ ได้ชื่อว่าเป็นชุมชนชาวยิวที่ใหญ่ที่สุดในลาตินอเมริกา เรื่องราวหรือสถานการณ์ส่วนใหญ่ในหนังของเขามักยืนอยู่บนสถานการณ์ความขัดแย้งทางด้านทัศนคติการดำเนินชีวิต และความที่ไม่สามารถร่วมทางกันได้ของตัวละครที่ยึดถือในวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน หนังแนวดราม่า คอมาดี้ของเขามักถูกนำไปเปรียบเทียบ กับผลงานของวูดี้ อัลเลน ทั้งในความใกล้เคียงกันในเรื่องตัวละคร และสถานการณ์ แต่เขามักจะออกมาปฏิเสธโดยทันทีว่าหนังของเขากับวูดี้ อัลเลนนั้นแตกต่างกัน โดยเฉพาะในแง่ของตัวละคร เบอร์แมนเคยกล่าวถึงความแตกต่างตรงนี้ไว้ในการให้สัมภาษณ์ไว้ตอนที่เขาทำหนังเรื่อง Lost Embrace ว่า “หนังของวูดี้ อัลเลนมีตัวละครที่ตกอยู่ในสภาวะอันเลวร้าย ขณะที่ตัวละครเหล่านั้นอาศัยอยู่ในอพาร์ทเมนท์ราคา 100 ล้านเหรียญสหรัฐ แต่พวกเขายังมีเวลานั่งคิดไตร่ตรองถึงสถานการณ์ที่ตัวเองกำลังเผชิญอยู่ ส่วนตัวละครของผมนั้น อาจจะตกอยู่ในสถานการณ์เดียวกัน แต่พวกเขาต้องเอาชีวิตรอดจากสถานการณนั้นมากกว่าจะมีเวลามานั่งคิด”
A Chrysanthemum Bust in Cincoesquines คือหนังเรื่องแรกของเขาในปี 1998 ที่เล่าเรื่องชายหนุ่มผู้ตามหาตัวฆาตกรที่ฆ่าพี่เลี้ยงเด็กของเขา โดยมีชายชาวยิวเป็นผู้ช่วย ด้วยความที่ตัวหนังเต็มไปด้วยดนตรีประกอบแปลกๆ แ ละเทคนิคด้านภาพที่ดูหวือหวาเกินไป ทำให้หนังทั้งเรื่องดูสับสนไปหมด
หลังจากนั้น 3 ปี เบอร์แมนกลับมาพร้อมหนังเรื่องใหม่ของเขา Waiting for the Messiah ที่สามารถทำให้ชื่อของเขาเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น เมื่อมันได้มีโอกาสได้เข้าฉายในเทศกาลหนังต่างๆ อาทิ เทศกาลหนังเวนิช เทศกาลหนังโตเกียว เป็นต้น เขากลับมาพร้อมแนวทางที่ชัดเจนมากขึ้นในแนวทางของหนังดราม่า คอมาดี้ กับประเด็นความขัดแย้งของตัวละครที่จะต้องเผชิญหน้าระหว่างการเชื่อถือธรรมเนียมปฏิบัติในสิ่งที่ครอบครัวทำกันมา กับสิ่งที่ตนเองต้องการ และยังเป็นการร่วมงานครั้งแรกของเบอร์แมน กับ แดเนี่ยล แฮนด์เลอร์ ซึ่งถือว่าเป็นนักแสดงขาประจำของเบอร์แมนในอีกหลายๆ เรื่องต่อมาเลยทีเดียว มันเป็นการทำหนังที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขาเรื่องแรกที่พูดถึงความขัดแย้งในตัวคนรุ่นใหม่ ที่อยู่ในชนชั้นกลาง และการเป็นยิวที่อาศัยอยู่ในอาร์เจนติน่า โดยเขามักนำเสนอสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกับผู้คนที่อาศัยอยู่ในบัวโนส ไอเรส
หลังจากนั้นเขาหันไปทำหนังสารคดีเรื่อง Seven Days in Once ซึ่งพูดถึงสภาวะภายหลังเหตุการณ์วิกฤต AMIA ในปี 1997 ก่อนที่จะกลับมาพร้อมหนังเรื่อง Every Stewardess Goes to Heaven แต่การกลับมาครั้งนี้ของเขาไม่เป็นที่ประทับใจเท่าที่ควร ด้วยความคึกคะนอง และการเล่าเรื่องแบบเหนือจริงเกินไป ทำให้หนังเต็มไปด้วยบทสนมนาที่ฟุ่มเฟือย เนื้อเรื่องที่แบนราบ จนฉากต่างๆ ในเรื่องไม่สามารถจับต้นชนปลายได้ถูก ส่วนฉากที่มีความสำคัญก็ถูกทำให้ไม่น่าสนใจ
แต่ภาพยนตร์เรื่องต่อมา Lost Embrace นั้น เหมือนกับการกลับมาแก้ตัวใหม่อีกครั้ง ด้วยความที่หนังมีพลัง จนสามารถส่งให้เบอร์แมนคว้ารางวัลซิลเวอร์ แบร์ หรือภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ในปี 2004 จากเทศกาลหนังเบอร์ลิน พร้อมกับนักแสดงนำของเขา แฮนด์เลอร์ ก็สามารถคว้ารางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยมจากที่นี่เช่นกัน กับบทบาทของเอเรียล หนุ่มชาวยิวผู้อาศัยอยู่ในบัวโนส ไอเรส ที่คิดถึงพ่อของเขาที่เดินทางไปยังอิสราเอลก่อนที่เขาจะเกิด และเขาเองก็อยากจะจากชีวิตที่เป็นอยู่เพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในยุโรป หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยรูปแบบการเล่าเรื่องที่ยากจะคาดเดา จนคนดูไม่สามารถรูว่าตอนจบจะลงเอยอย่างไร
ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขา Family Law ได้รับเสียงชื่นชมจากผู้ชม หลังจากที่มันได้มีโอกาสไปฉายที่เทศกาลหนังเบอร์ลิน ประจำปี 2006 อย่างท่วมท้น จนสามารถคว้ารางวัลขวัญใจคนดูมาได้ หนังยังคงเล่าเรื่องในประเด็นความขัดแย้งระหว่างคนรุ่นเก่า และรุ่นใหม่ ในการแสวงหาจุดยืนเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตที่เป็นอยู่ มันสะท้อนถึงความความหวาดกลัวการเติบโต ความหวาดกลัวต่อสิ่งที่ไม่แน่นอนในชีวิต โดยตัวหนังถ่ายทอดออกมาด้วยมุมมองเชิงสารคดี ที่ใช้การถือถ่าย และการตัดสลับไปมาอย่างดูไม่ต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ของแก่นเรื่องให้แก่ผู้ชมได้เข้าใจมากขึ้น
ดังนั้น เราจะพอเห็นได้ว่าหนังของเบอร์แมนนั้นมักพุ่งประเด็นไปที่การนำเสนอเรื่องราวของชาวยิวยุคใหม่ และเก่าที่อาศัยอยู่ในบัวโนส ไอเรส การแสวงหาความเปลี่ยนแปลงต่อวิถีชีวิตของผู้คน ด้วยมุมมองของการทำให้มันออกมาดูสมจริงคล้ายหนังสารคดี จนหลายคนมองว่าหนังหลายเรื่องของเขาได้สะท้อนเรื่องราวในความคิดของเขา หรือตัวละครบางตัวเป็นตัวแทนของตัวเขาเองในชีวิตจริง แต่ขณะเดียวกันมันกลับเต็มไปด้วยความหมายและวิธีการตามแบบของหนังดราม่าคอมาดี้ ซึ่งมันกลายเป็นเครื่องหมายประจำตัวของเขาไปแล้ว ที่เขายืนยันว่ารูปแบบหนังของเขานั้น ไม่ใช่วูดี้ อัลเลน หรือ แนนนี่ มอรอทติ แน่นอน
นอกจากการที่เขาเป็นผู้กำกับที่มีแนวทางชัดเจนในหนังตัวเองแล้ว เขายังเป็น หนึ่งในผู้อำนวยการสร้างที่ร่วมส่งหนังให้ประสบความสำเร็จมาแล้วใน The Motorcycle Diaries หนังที่พูดถึงชีวิตวัยหนุ่มของ เชว์ กูวาลา ที่ออกตามหาความหมายของชีวิตอีกด้วย จนมีคนเคยถามเบอร์แมนว่า เขาเองไม่อยากที่จะมาทำหนังในฮอลลีวูดบ้างเลยหรือ เนื่องจากมีคนเคยเห็นเขามาเยือนลอสแองเจลลิสอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเบอร์แมนก็ตอบคำถามนี้ไว้อย่างชัดเจนว่า เขาคิดว่าการที่เขาได้ทำหนังในบ้านเกิดนั้นสบายใจ และได้ผลงานที่ออกมาดีและถูกใจเขาอย่างทุกวันนี้ก็พอแล้ว
A Chrysanthemum Bust in Cincoesquines คือหนังเรื่องแรกของเขาในปี 1998 ที่เล่าเรื่องชายหนุ่มผู้ตามหาตัวฆาตกรที่ฆ่าพี่เลี้ยงเด็กของเขา โดยมีชายชาวยิวเป็นผู้ช่วย ด้วยความที่ตัวหนังเต็มไปด้วยดนตรีประกอบแปลกๆ แ ละเทคนิคด้านภาพที่ดูหวือหวาเกินไป ทำให้หนังทั้งเรื่องดูสับสนไปหมด
หลังจากนั้น 3 ปี เบอร์แมนกลับมาพร้อมหนังเรื่องใหม่ของเขา Waiting for the Messiah ที่สามารถทำให้ชื่อของเขาเป็นที่รู้จักในวงกว้างมากขึ้น เมื่อมันได้มีโอกาสได้เข้าฉายในเทศกาลหนังต่างๆ อาทิ เทศกาลหนังเวนิช เทศกาลหนังโตเกียว เป็นต้น เขากลับมาพร้อมแนวทางที่ชัดเจนมากขึ้นในแนวทางของหนังดราม่า คอมาดี้ กับประเด็นความขัดแย้งของตัวละครที่จะต้องเผชิญหน้าระหว่างการเชื่อถือธรรมเนียมปฏิบัติในสิ่งที่ครอบครัวทำกันมา กับสิ่งที่ตนเองต้องการ และยังเป็นการร่วมงานครั้งแรกของเบอร์แมน กับ แดเนี่ยล แฮนด์เลอร์ ซึ่งถือว่าเป็นนักแสดงขาประจำของเบอร์แมนในอีกหลายๆ เรื่องต่อมาเลยทีเดียว มันเป็นการทำหนังที่มีเอกลักษณ์เฉพาะตัวของเขาเรื่องแรกที่พูดถึงความขัดแย้งในตัวคนรุ่นใหม่ ที่อยู่ในชนชั้นกลาง และการเป็นยิวที่อาศัยอยู่ในอาร์เจนติน่า โดยเขามักนำเสนอสภาพความเป็นจริงที่เกิดขึ้นกับผู้คนที่อาศัยอยู่ในบัวโนส ไอเรส
หลังจากนั้นเขาหันไปทำหนังสารคดีเรื่อง Seven Days in Once ซึ่งพูดถึงสภาวะภายหลังเหตุการณ์วิกฤต AMIA ในปี 1997 ก่อนที่จะกลับมาพร้อมหนังเรื่อง Every Stewardess Goes to Heaven แต่การกลับมาครั้งนี้ของเขาไม่เป็นที่ประทับใจเท่าที่ควร ด้วยความคึกคะนอง และการเล่าเรื่องแบบเหนือจริงเกินไป ทำให้หนังเต็มไปด้วยบทสนมนาที่ฟุ่มเฟือย เนื้อเรื่องที่แบนราบ จนฉากต่างๆ ในเรื่องไม่สามารถจับต้นชนปลายได้ถูก ส่วนฉากที่มีความสำคัญก็ถูกทำให้ไม่น่าสนใจ
แต่ภาพยนตร์เรื่องต่อมา Lost Embrace นั้น เหมือนกับการกลับมาแก้ตัวใหม่อีกครั้ง ด้วยความที่หนังมีพลัง จนสามารถส่งให้เบอร์แมนคว้ารางวัลซิลเวอร์ แบร์ หรือภาพยนตร์ยอดเยี่ยม ในปี 2004 จากเทศกาลหนังเบอร์ลิน พร้อมกับนักแสดงนำของเขา แฮนด์เลอร์ ก็สามารถคว้ารางวัลนักแสดงนำยอดเยี่ยมจากที่นี่เช่นกัน กับบทบาทของเอเรียล หนุ่มชาวยิวผู้อาศัยอยู่ในบัวโนส ไอเรส ที่คิดถึงพ่อของเขาที่เดินทางไปยังอิสราเอลก่อนที่เขาจะเกิด และเขาเองก็อยากจะจากชีวิตที่เป็นอยู่เพื่อไปเริ่มต้นชีวิตใหม่ในยุโรป หนังเรื่องนี้เต็มไปด้วยรูปแบบการเล่าเรื่องที่ยากจะคาดเดา จนคนดูไม่สามารถรูว่าตอนจบจะลงเอยอย่างไร
ภาพยนตร์เรื่องล่าสุดของเขา Family Law ได้รับเสียงชื่นชมจากผู้ชม หลังจากที่มันได้มีโอกาสไปฉายที่เทศกาลหนังเบอร์ลิน ประจำปี 2006 อย่างท่วมท้น จนสามารถคว้ารางวัลขวัญใจคนดูมาได้ หนังยังคงเล่าเรื่องในประเด็นความขัดแย้งระหว่างคนรุ่นเก่า และรุ่นใหม่ ในการแสวงหาจุดยืนเพื่อเปลี่ยนแปลงชีวิตที่เป็นอยู่ มันสะท้อนถึงความความหวาดกลัวการเติบโต ความหวาดกลัวต่อสิ่งที่ไม่แน่นอนในชีวิต โดยตัวหนังถ่ายทอดออกมาด้วยมุมมองเชิงสารคดี ที่ใช้การถือถ่าย และการตัดสลับไปมาอย่างดูไม่ต่อเนื่อง เพื่อตอบโจทย์ของแก่นเรื่องให้แก่ผู้ชมได้เข้าใจมากขึ้น
ดังนั้น เราจะพอเห็นได้ว่าหนังของเบอร์แมนนั้นมักพุ่งประเด็นไปที่การนำเสนอเรื่องราวของชาวยิวยุคใหม่ และเก่าที่อาศัยอยู่ในบัวโนส ไอเรส การแสวงหาความเปลี่ยนแปลงต่อวิถีชีวิตของผู้คน ด้วยมุมมองของการทำให้มันออกมาดูสมจริงคล้ายหนังสารคดี จนหลายคนมองว่าหนังหลายเรื่องของเขาได้สะท้อนเรื่องราวในความคิดของเขา หรือตัวละครบางตัวเป็นตัวแทนของตัวเขาเองในชีวิตจริง แต่ขณะเดียวกันมันกลับเต็มไปด้วยความหมายและวิธีการตามแบบของหนังดราม่าคอมาดี้ ซึ่งมันกลายเป็นเครื่องหมายประจำตัวของเขาไปแล้ว ที่เขายืนยันว่ารูปแบบหนังของเขานั้น ไม่ใช่วูดี้ อัลเลน หรือ แนนนี่ มอรอทติ แน่นอน
นอกจากการที่เขาเป็นผู้กำกับที่มีแนวทางชัดเจนในหนังตัวเองแล้ว เขายังเป็น หนึ่งในผู้อำนวยการสร้างที่ร่วมส่งหนังให้ประสบความสำเร็จมาแล้วใน The Motorcycle Diaries หนังที่พูดถึงชีวิตวัยหนุ่มของ เชว์ กูวาลา ที่ออกตามหาความหมายของชีวิตอีกด้วย จนมีคนเคยถามเบอร์แมนว่า เขาเองไม่อยากที่จะมาทำหนังในฮอลลีวูดบ้างเลยหรือ เนื่องจากมีคนเคยเห็นเขามาเยือนลอสแองเจลลิสอยู่บ่อยครั้ง ซึ่งเบอร์แมนก็ตอบคำถามนี้ไว้อย่างชัดเจนว่า เขาคิดว่าการที่เขาได้ทำหนังในบ้านเกิดนั้นสบายใจ และได้ผลงานที่ออกมาดีและถูกใจเขาอย่างทุกวันนี้ก็พอแล้ว
No comments:
Post a Comment