
Scream ภาพยนตร์โดย เวส คราเวน ผู้สร้างตำนานเฟรดดี้ ครูเกอร์ แห่ง นิ้วเขมือบ (A Nightmare on Elm Street) และนำแสดงโดยสาวซ่า ดรูว์ แบร์รีมอร์
ข้อมูลข้างต้น เป็นไม้ตายที่ใช้สำหรับโฆษณาหนังสยองขวัญวัยรุ่นเรื่องดังแห่งปี 1996 แต่ของเด็ดเท่าที่มีนั้นไม่ได้น่าสนใจอะไรมากมาย เพราะในครั้งนั้น เวส คราเวน ยังคงเป็นผู้กำกับหนังเกรดบี ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งเท่านั้น ส่วน ดรูว์ แบร์รีมอร์ เองก็เพิ่งจะกู้ชื่อเสียงที่เหม็นโฉ่ขึ้นมาได้ไม่นานเท่าไหร่ด้วย ผลสุดท้ายรายรับเปิดตัวของ Scream จึงไม่ได้แตกต่างจากหนังสยองขวัญเรื่องอื่นๆ ในยุคนั้น ที่กำลังอยู่ในช่วงขาลงสุดๆ
หลังจากนั้นไม่นาน Scream ได้กลายเป็นกรณีศึกษาที่ดีของอำนาจผู้บริโภค เพราะทันทีที่หนังออกฉายสัปดาห์แรก การโฆษณาแบบปากต่อปากได้ทำหน้าที่ด้วยตัวของมันเอง จนสามารถยืนโรงฉายได้ร่วมค่อนปี และรายรับยังสามารถทะลุ 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ได้อีกต่างหาก
“คุณชอบดูหนังสยองขวัญเรื่องอะไร ?”
ถ้าคุณได้รับโทรศัพท์ แล้วเสียงปลายสายคุณถามคำถามนี้ ในขณะที่คุณอยู่บ้านคนเดียว และกำลังจะเปิดหนังดู คุณจะรู้สึกอย่างไร?
ใช่แล้ว Scream เปิดตัวมาด้วยฉากนี้ ดรูว์ แบร์รีมอร์ ในบท เคซีย์ เบ็คเกอร์ สาวใสไฮสคูล กำลังเตรียมเปิดหนังสยองขวัญนั่งดูเพียงลำพัง ทันใดนั้นเอง เสียงโทรศัพท์เจ้ากรรมเกิดดังสนั่นขึ้น เมื่อเคซีย์รับ คำถามสุดสยองเริ่มจู่โจมเธอทันที ด้วยความเป็นสาวมั่น เธอจึงต่อล้อต่อเถียงกับไอ้โรคจิตปลายสาย โดยหารู้ไม่ว่ามันกำลังมองเธออยู่ที่มุมหนึ่งในบ้าน จากนั้น การไล่ล่าจึงเกิดขึ้น สุดท้าย เคซีย์ถูกฆาตกรโหดภายใต้หน้ากากผีกะซวกท้องเข้าเต็มแรง ก่อนที่จะถูกแขวนคออยู่ใต้ต้นไม้ เสียชีวิตอย่างน่าอนาถ
เมื่อมาถึงตรงนี้ ผู้ชมส่วนใหญ่เริ่มมองหน้ากันเหรอหรา ในเมื่อดาราที่ดังที่สุดในเรื่องอย่าง ดรูว์ แบร์รีมอร์ ดันมาตายเสียตั้งแต่ฉากแรก นอกจากนี้ นักแสดงที่เหลือยังเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ ดังนั้น ความรู้สึกของคนดูหลังจากนี้คือลังเลว่าจะเอาใจช่วย หรือจะสงสัยในพฤติกรรมของตัวละครที่กำลังดูอยู่ เพราะถึงขั้นนี้แล้ว อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น และนี่เองที่เป็นเสน่ห์ของ Scream
ในขณะที่หลายคนกำลังลุ้นระทึกไปกับเรื่องราวบนจอภาพยนตร์ อีกส่วนหนึ่งของผู้ชม กำลังสนุกอยู่กับการนึกถึงหนังที่ตัวละครในเรื่องกล่าวอ้าง เพราะเริ่มแรก เวส คราเวน ต้องการจะทำหนังเพื่อล้อเลียนหนังสยองขวัญหลายๆ เรื่อง โดยการรวบรวมธรรมเนียมที่หนังสยองขวัญพึงมี อย่างเช่น ทำไมเหยื่อสาวต้องวิ่งหนีฆาตกรขึ้นบันได ทำไมไม่ออกทางประตู หรือทำไมตำรวจต้องมาหลังจากเรื่องราวคลี่คลายเสร็จหมดแล้ว เป็นต้น ความสนุกเหล่านี้จึงทำให้ Scream กลายเป็นหนังสยองขวัญ ที่เจืออารมณ์ขันเอาไว้ด้วยอย่างชาญฉลาด (อย่างฉากเปิดตัวยังมาจาก When a Stranger Calls หนังสยองขวัญในอดีต)
สาเหตุที่คราเวนอยากทำหนังให้ออกมาในอารมณ์นี้ เป็นเพราะ หลังจากคราเวน เปิดตำนานของ เฟรดดี้ ครูเกอร์ เมื่อปี 1984 หนังภาคต่อของนิ้วเขมือบจึงออกมาพบกับผู้ชมอีกชุดใหญ่ โดยฝีมือคนอื่น ผลที่ออกมาจึงเละไม่เป็นท่า ก่อนที่เสน่ห์ของ เฟรดดี้ ครูเกอร์จะจางหาย คราเวนจึงออกโรงปิดตำนานนิ้วเขมือบด้วยตัวเอง ในปี 1994 ด้วย New Nightmare ในรูปแบบของหนังซ้อนหนัง โดยหลังจากอยู่ภายใต้เมคอัพเละเทะในบทเฟรดดี้มานาน ครั้งนี้ โรเบิร์ต อิงลันด์ ถึงได้มีโอกาสอวดโฉมหน้าที่แท้จริง ด้วยการเล่นเป็นตัวเอง และรูปแบบการนำเสนอของคราเวนครั้งนี้ ทำให้ นิ้วเขมือบทุกภาค กลายเป็นของคลาสสิคขึ้นมาในทันที จากจุดนี้เอง ที่ทำให้คราเวนนึกสนุกอยากรวบรวมมุกฆ่าคน ในหนังสยองขวัญหลายๆ เรื่อง (ไม่เว้นแม้แต่ของเขาเอง) เอาไว้ในหนังเรื่องเดียว
แน่นอน เมื่อภาคแรกฮิตติดลมบน ความคิดริเริ่มที่จะทำเป็นไตรภาคของคราเวน จึงเป็นความจริงขึ้นมา Scream 2 เปิดตัวในปี 1997 ด้วยรายรับที่ทะยานสู่อันดับ 1 บนตารางบ็อกซ์ ออฟฟิศ อย่างสวยงาม ตามด้วยภาค 3 ในปี 2000 กับรายรับที่ถล่มทลายไม่ต่างจากสองภาคแรกเท่าใดนัก การเป็นหนังดีให้เท่าภาคแรกไม่ได้ คงไม่น่าพูดถึงเท่าใดนัก แต่เสน่ห์ต่างหาก ที่หายไปตามจำนวนภาคที่เกิดขึ้น เพราะภาคต่อๆ มายังคงพยายามล้อเลียนหนังสยองขวัญอยู่นั่นเอง แต่สิ่งที่ Scream ภาคแรกได้สร้างไว้ ได้กลายเป็นบันทึกบทสำคัญ สำหรับการศึกษาขนบธรรมเนียม และวัฒนธรรม ของวัยรุ่นในยุค 90 ได้เป็นอย่างดี
เก็บตก จาก Scream
- หลังจากความสำเร็จของ Scream เควิน วิลเลียมสัน ผู้เขียนบท จึงออกมาหากินด้วยการเขียนบทให้กับ I Know What You Did Last Summer หนังสยองขวัญแนวเดียวกัน จนประสบความสำเร็จ หลังจากนั้นจึงมีหนังประเภทนี้ออกมาอีกเพียบ ทั้ง I Still Know What You Did Last Summer, Urban Legend, Valentine และอีกหลายเรื่อง จนสุดท้ายก็ค่อยๆ หายเงียบไปตามระเบียบ
- ในเมื่อความสยองไม่สามารถช่วยอะไรได้อีกแล้ว จึงทำให้เกิดหนังสยองขวัญล้อเลียนขึ้นมาชุดใหม่ ในชื่อ Scary Movie ซึ่งยังคงล้อเลียนหนังสยองขวัญ แต่บ้าบอคอแตกอย่างเต็มที่ หนังเป็นที่ถูกอกถูกใจคอหนังเป็นอย่างมาก จนกลายเป็นของตายที่ตอนนี้เก็บเกี่ยวความสำเร็จมาถึงภาค 4 แล้ว และยังมี Not Another Teen Movie และ Date Movie ตามออกมาอีกชุดด้วย
- เวส คราเวน เริ่มอยากเปลี่ยนแนว โดยการหันไปกำกับหนังชีวิตสุดซึ้งที่ส่งให้เมอรีล สตรีพ เข้าชิงออสการ์เป็นครั้งที่ 12 (สถิติสูงสุดเท่า แคทเธอรีน เฮพเบิร์น ก่อนจะทำลายสถิติได้จาก Adaptation ปี 2002) เรื่อง Music of the Heart คราเวนทำได้ประทับใจจนไม่มีใครเชื่อว่า หนังเรื่องนี้กำกับโดยผู้กำกับ Scream และนิ้วเขมือบ
- เนฟ แคมพ์เบลล์ เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง เธอกลายเป็นสัญลักษณ์ของหนัง ควบคู่ไปกับหน้ากากผี แต่ไม่ยักมีใครจ้างเธอไปเล่นหนังประเภทอื่น เพื่อพิสูจน์ฝีมือ เธอจึงติดต่อผู้กำกับชั้นครู โรเบิร์ต อัลต์แมน มากำกับ The Company หนังที่เธอวางโครงเรื่องด้วยตัวเอง อำนวยการสร้างเอง และนำแสดงเอง หนังพูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับนักเต้นบัลเลย์ ดังนั้นเธอจึงงัดพรสวรรค์ทั้งหมดเท่าที่มี จนสามารถชนะใจนักวิจารณ์ และตอนนี้เธอคือนักแสดงขายฝีมือคนหนึ่งของวงการ แต่ยังไม่สามารถสลัดคราบ ซิดนีย์ เพรสคอตต์ นางเอกจอมหวีด ออกจากตัวได้อยู่ดี
- หลังจาก Scream ดรูว์ แบร์รีมอร์ พยายามล้างภาพลักษณ์สาวซ่า มาเป็นสาวหวานอย่างเต็มที่ (การตายของเธอในหนัง เปรียบเสมือนการฆ่าดรูว์ แบร์รีมอร์ คนเก่า เพื่อไปพบกับคนใหม่) เธอกระโดดไปเป็นนางเอกของอดัม แซนด์เลอร์ ใน The Wedding Singer ได้อย่างน่ารักน่าชัง จากนั้นจึงตอกย้ำด้วยหนังหวานๆ อีกเป็นโหล อย่าง Ever After, Home Fires และ Never Been Kissed สุดท้าย เธอกลายเป็นหญิงผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งในฮอลลีวูด นับว่าแผนการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของเธอ ประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม
- Scream เปรียบเสมือนบันทึกรักของคนคู่หนึ่ง นั่นคือ เดวิด อาร์เคว็ตต์ ผู้รับบท ดิวอี้ กับ คอร์ตนีย์ ค็อกซ์ ผู้รับบท เกล เพราะทั้งคู่ตกหลุมรักกันจริงๆ ในภาค 1 จากนั้นทั้งคู่ตัดสินใจหมั้นหมายกันในภาค 2 และในภาค 3 ไม่มีคอร์ตนีย์ ค็อกซ์ แสดงกับ เดวิด อาร์เคว็ตต์อีกแล้ว แต่มี คอร์ตนีย์ ค็อกซ์ อาร์เคว็ตต์ แทน ปัจจุบันนี้ ทั้งคู่และลูกน้อยเป็นครอบครัวที่คนทั้งฮอลลีวูด อิจฉากันถ้วนหน้า
ข้อมูลข้างต้น เป็นไม้ตายที่ใช้สำหรับโฆษณาหนังสยองขวัญวัยรุ่นเรื่องดังแห่งปี 1996 แต่ของเด็ดเท่าที่มีนั้นไม่ได้น่าสนใจอะไรมากมาย เพราะในครั้งนั้น เวส คราเวน ยังคงเป็นผู้กำกับหนังเกรดบี ที่มีชื่อเสียงคนหนึ่งเท่านั้น ส่วน ดรูว์ แบร์รีมอร์ เองก็เพิ่งจะกู้ชื่อเสียงที่เหม็นโฉ่ขึ้นมาได้ไม่นานเท่าไหร่ด้วย ผลสุดท้ายรายรับเปิดตัวของ Scream จึงไม่ได้แตกต่างจากหนังสยองขวัญเรื่องอื่นๆ ในยุคนั้น ที่กำลังอยู่ในช่วงขาลงสุดๆ
หลังจากนั้นไม่นาน Scream ได้กลายเป็นกรณีศึกษาที่ดีของอำนาจผู้บริโภค เพราะทันทีที่หนังออกฉายสัปดาห์แรก การโฆษณาแบบปากต่อปากได้ทำหน้าที่ด้วยตัวของมันเอง จนสามารถยืนโรงฉายได้ร่วมค่อนปี และรายรับยังสามารถทะลุ 100 ล้านเหรียญสหรัฐฯ ได้อีกต่างหาก
“คุณชอบดูหนังสยองขวัญเรื่องอะไร ?”
ถ้าคุณได้รับโทรศัพท์ แล้วเสียงปลายสายคุณถามคำถามนี้ ในขณะที่คุณอยู่บ้านคนเดียว และกำลังจะเปิดหนังดู คุณจะรู้สึกอย่างไร?
ใช่แล้ว Scream เปิดตัวมาด้วยฉากนี้ ดรูว์ แบร์รีมอร์ ในบท เคซีย์ เบ็คเกอร์ สาวใสไฮสคูล กำลังเตรียมเปิดหนังสยองขวัญนั่งดูเพียงลำพัง ทันใดนั้นเอง เสียงโทรศัพท์เจ้ากรรมเกิดดังสนั่นขึ้น เมื่อเคซีย์รับ คำถามสุดสยองเริ่มจู่โจมเธอทันที ด้วยความเป็นสาวมั่น เธอจึงต่อล้อต่อเถียงกับไอ้โรคจิตปลายสาย โดยหารู้ไม่ว่ามันกำลังมองเธออยู่ที่มุมหนึ่งในบ้าน จากนั้น การไล่ล่าจึงเกิดขึ้น สุดท้าย เคซีย์ถูกฆาตกรโหดภายใต้หน้ากากผีกะซวกท้องเข้าเต็มแรง ก่อนที่จะถูกแขวนคออยู่ใต้ต้นไม้ เสียชีวิตอย่างน่าอนาถ
เมื่อมาถึงตรงนี้ ผู้ชมส่วนใหญ่เริ่มมองหน้ากันเหรอหรา ในเมื่อดาราที่ดังที่สุดในเรื่องอย่าง ดรูว์ แบร์รีมอร์ ดันมาตายเสียตั้งแต่ฉากแรก นอกจากนี้ นักแสดงที่เหลือยังเป็นใครมาจากไหนก็ไม่รู้ ดังนั้น ความรู้สึกของคนดูหลังจากนี้คือลังเลว่าจะเอาใจช่วย หรือจะสงสัยในพฤติกรรมของตัวละครที่กำลังดูอยู่ เพราะถึงขั้นนี้แล้ว อะไรก็สามารถเกิดขึ้นได้ทั้งนั้น และนี่เองที่เป็นเสน่ห์ของ Scream
ในขณะที่หลายคนกำลังลุ้นระทึกไปกับเรื่องราวบนจอภาพยนตร์ อีกส่วนหนึ่งของผู้ชม กำลังสนุกอยู่กับการนึกถึงหนังที่ตัวละครในเรื่องกล่าวอ้าง เพราะเริ่มแรก เวส คราเวน ต้องการจะทำหนังเพื่อล้อเลียนหนังสยองขวัญหลายๆ เรื่อง โดยการรวบรวมธรรมเนียมที่หนังสยองขวัญพึงมี อย่างเช่น ทำไมเหยื่อสาวต้องวิ่งหนีฆาตกรขึ้นบันได ทำไมไม่ออกทางประตู หรือทำไมตำรวจต้องมาหลังจากเรื่องราวคลี่คลายเสร็จหมดแล้ว เป็นต้น ความสนุกเหล่านี้จึงทำให้ Scream กลายเป็นหนังสยองขวัญ ที่เจืออารมณ์ขันเอาไว้ด้วยอย่างชาญฉลาด (อย่างฉากเปิดตัวยังมาจาก When a Stranger Calls หนังสยองขวัญในอดีต)
สาเหตุที่คราเวนอยากทำหนังให้ออกมาในอารมณ์นี้ เป็นเพราะ หลังจากคราเวน เปิดตำนานของ เฟรดดี้ ครูเกอร์ เมื่อปี 1984 หนังภาคต่อของนิ้วเขมือบจึงออกมาพบกับผู้ชมอีกชุดใหญ่ โดยฝีมือคนอื่น ผลที่ออกมาจึงเละไม่เป็นท่า ก่อนที่เสน่ห์ของ เฟรดดี้ ครูเกอร์จะจางหาย คราเวนจึงออกโรงปิดตำนานนิ้วเขมือบด้วยตัวเอง ในปี 1994 ด้วย New Nightmare ในรูปแบบของหนังซ้อนหนัง โดยหลังจากอยู่ภายใต้เมคอัพเละเทะในบทเฟรดดี้มานาน ครั้งนี้ โรเบิร์ต อิงลันด์ ถึงได้มีโอกาสอวดโฉมหน้าที่แท้จริง ด้วยการเล่นเป็นตัวเอง และรูปแบบการนำเสนอของคราเวนครั้งนี้ ทำให้ นิ้วเขมือบทุกภาค กลายเป็นของคลาสสิคขึ้นมาในทันที จากจุดนี้เอง ที่ทำให้คราเวนนึกสนุกอยากรวบรวมมุกฆ่าคน ในหนังสยองขวัญหลายๆ เรื่อง (ไม่เว้นแม้แต่ของเขาเอง) เอาไว้ในหนังเรื่องเดียว
แน่นอน เมื่อภาคแรกฮิตติดลมบน ความคิดริเริ่มที่จะทำเป็นไตรภาคของคราเวน จึงเป็นความจริงขึ้นมา Scream 2 เปิดตัวในปี 1997 ด้วยรายรับที่ทะยานสู่อันดับ 1 บนตารางบ็อกซ์ ออฟฟิศ อย่างสวยงาม ตามด้วยภาค 3 ในปี 2000 กับรายรับที่ถล่มทลายไม่ต่างจากสองภาคแรกเท่าใดนัก การเป็นหนังดีให้เท่าภาคแรกไม่ได้ คงไม่น่าพูดถึงเท่าใดนัก แต่เสน่ห์ต่างหาก ที่หายไปตามจำนวนภาคที่เกิดขึ้น เพราะภาคต่อๆ มายังคงพยายามล้อเลียนหนังสยองขวัญอยู่นั่นเอง แต่สิ่งที่ Scream ภาคแรกได้สร้างไว้ ได้กลายเป็นบันทึกบทสำคัญ สำหรับการศึกษาขนบธรรมเนียม และวัฒนธรรม ของวัยรุ่นในยุค 90 ได้เป็นอย่างดี
เก็บตก จาก Scream
- หลังจากความสำเร็จของ Scream เควิน วิลเลียมสัน ผู้เขียนบท จึงออกมาหากินด้วยการเขียนบทให้กับ I Know What You Did Last Summer หนังสยองขวัญแนวเดียวกัน จนประสบความสำเร็จ หลังจากนั้นจึงมีหนังประเภทนี้ออกมาอีกเพียบ ทั้ง I Still Know What You Did Last Summer, Urban Legend, Valentine และอีกหลายเรื่อง จนสุดท้ายก็ค่อยๆ หายเงียบไปตามระเบียบ
- ในเมื่อความสยองไม่สามารถช่วยอะไรได้อีกแล้ว จึงทำให้เกิดหนังสยองขวัญล้อเลียนขึ้นมาชุดใหม่ ในชื่อ Scary Movie ซึ่งยังคงล้อเลียนหนังสยองขวัญ แต่บ้าบอคอแตกอย่างเต็มที่ หนังเป็นที่ถูกอกถูกใจคอหนังเป็นอย่างมาก จนกลายเป็นของตายที่ตอนนี้เก็บเกี่ยวความสำเร็จมาถึงภาค 4 แล้ว และยังมี Not Another Teen Movie และ Date Movie ตามออกมาอีกชุดด้วย
- เวส คราเวน เริ่มอยากเปลี่ยนแนว โดยการหันไปกำกับหนังชีวิตสุดซึ้งที่ส่งให้เมอรีล สตรีพ เข้าชิงออสการ์เป็นครั้งที่ 12 (สถิติสูงสุดเท่า แคทเธอรีน เฮพเบิร์น ก่อนจะทำลายสถิติได้จาก Adaptation ปี 2002) เรื่อง Music of the Heart คราเวนทำได้ประทับใจจนไม่มีใครเชื่อว่า หนังเรื่องนี้กำกับโดยผู้กำกับ Scream และนิ้วเขมือบ
- เนฟ แคมพ์เบลล์ เริ่มเป็นที่รู้จักอย่างกว้างขวาง เธอกลายเป็นสัญลักษณ์ของหนัง ควบคู่ไปกับหน้ากากผี แต่ไม่ยักมีใครจ้างเธอไปเล่นหนังประเภทอื่น เพื่อพิสูจน์ฝีมือ เธอจึงติดต่อผู้กำกับชั้นครู โรเบิร์ต อัลต์แมน มากำกับ The Company หนังที่เธอวางโครงเรื่องด้วยตัวเอง อำนวยการสร้างเอง และนำแสดงเอง หนังพูดถึงเรื่องราวเกี่ยวกับนักเต้นบัลเลย์ ดังนั้นเธอจึงงัดพรสวรรค์ทั้งหมดเท่าที่มี จนสามารถชนะใจนักวิจารณ์ และตอนนี้เธอคือนักแสดงขายฝีมือคนหนึ่งของวงการ แต่ยังไม่สามารถสลัดคราบ ซิดนีย์ เพรสคอตต์ นางเอกจอมหวีด ออกจากตัวได้อยู่ดี
- หลังจาก Scream ดรูว์ แบร์รีมอร์ พยายามล้างภาพลักษณ์สาวซ่า มาเป็นสาวหวานอย่างเต็มที่ (การตายของเธอในหนัง เปรียบเสมือนการฆ่าดรูว์ แบร์รีมอร์ คนเก่า เพื่อไปพบกับคนใหม่) เธอกระโดดไปเป็นนางเอกของอดัม แซนด์เลอร์ ใน The Wedding Singer ได้อย่างน่ารักน่าชัง จากนั้นจึงตอกย้ำด้วยหนังหวานๆ อีกเป็นโหล อย่าง Ever After, Home Fires และ Never Been Kissed สุดท้าย เธอกลายเป็นหญิงผู้ทรงอิทธิพลคนหนึ่งในฮอลลีวูด นับว่าแผนการสร้างภาพลักษณ์ใหม่ของเธอ ประสบความสำเร็จอย่างสวยงาม
- Scream เปรียบเสมือนบันทึกรักของคนคู่หนึ่ง นั่นคือ เดวิด อาร์เคว็ตต์ ผู้รับบท ดิวอี้ กับ คอร์ตนีย์ ค็อกซ์ ผู้รับบท เกล เพราะทั้งคู่ตกหลุมรักกันจริงๆ ในภาค 1 จากนั้นทั้งคู่ตัดสินใจหมั้นหมายกันในภาค 2 และในภาค 3 ไม่มีคอร์ตนีย์ ค็อกซ์ แสดงกับ เดวิด อาร์เคว็ตต์อีกแล้ว แต่มี คอร์ตนีย์ ค็อกซ์ อาร์เคว็ตต์ แทน ปัจจุบันนี้ ทั้งคู่และลูกน้อยเป็นครอบครัวที่คนทั้งฮอลลีวูด อิจฉากันถ้วนหน้า
No comments:
Post a Comment